คิดปลงผู้หญิง กลัวไม่มีเมีย
คิดปลงผู้หญิง กลัวไม่มีเมีย
นายสมชายมีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ ๒๖ ปี เคยรู้จักกันมาก่อน เห็นเขาขายน้ำก็เลยเข้าไปอุดหนุนซื้อน้ำอัดลม ๑ แก้ว แต่สังเกตเขา เขาจะทำอะไรเชื่องช้า พอถามเขาไปมาจึงทราบมาว่า เขาไปทำงานที่เชียงใหม่แล้วถูกรถชน ต้องผ่าตัดกระโหลก จึงเป็นเช่นนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังมีความหวังว่า สามีของเขาจะกลับมา ตอนนี้สามีเขาไปทำงานที่กรุงเทพฯ คือ หลังจากเขาโดนรถชนแล้วร่างกายเป็นเช่นนี้ สามีก็ตีตัวจากไป แต่เมื่อหญิงคนนี้โทรไปหาผู้ชาย ผู้ชายก็จะให้ความหวังเขาว่า จะกลับมาหาเขาอยู่ แต่เราฟังเนื้อเรื่องที่เพื่อนหญิงพูดเช่นนี้แล้ว มันไม่ใช่ ผู้ชายนี้ต้องการทิ้ง ตัดปัญหามากกว่า เราก็กลับมาย้อนคิดว่า ผู้ชายคนนี้ไม่น่าจะโกหกเขาเลย มาทำร้ายจิตใจเขา แต่เมื่อคิดมุมกลับ ชายคนนี้ก็เป็นการให้กำลังใจ ให้ความหวังเขา เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ไปฆ่าตัวตาย
ทำให้มาถึงนึกตัวเอง ถ้าเราเจอผู้หญิงแบบนี้เราจะรักผู้หญิงต่อไปมั้ย
ในกรณีที่ ๑ ถ้าผู้หญิงเป็นแบบนี้ มีความพิการเช่นนี้เราก็จะไม่รักแบบภรรยา ทำให้คิดว่า ทำไมเราจึงมีนิสัยเป็นเช่นนี้ เอาเปรียบผู้หญิงนี่ เขาไม่สวย เขาพิการ ทำไมไม่รักเขา? เราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า?
กรณีที่ ๒ แต่ถ้าเราอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาแล้ว วันดีคืนดีเขาเกิดเหตุการณ์ โดนรถชนแล้วพิการ เราก็จะยังรักเขาเช่นเดิม
พอคิดเช่นนี้แล้วเราก็ไม่อยากที่จะคิดต่อ กลัวว่าคิดต่อไปจะไม่อยากได้ผู้หญิงมาเป็นเมีย
สาเหตุที่คิดเช่นนี้ คือ ใจเรายังอยากได้ผู้หญิงมาเป็นเมียอยู่ แต่ใจก็กลัวไม่อยากคิด กลัวว่า ถ้าคิดแล้วจะเป็นอย่างนั้นจริง นี่เป็นการกลัวความจริง ทำไมเราต้องกลัวความจริง กลัวเพราะเป็นอนิจจัง เพราะว่ารูปผู้หญิงสวยๆ เราจะให้ถาวรยั่งยืนเหรอ มันไม่ใช่ถาวรยั่งยืน นั่นเป็นเพราะเราหนีความจริงแห่งธรรม
ถ้าเราคิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะตัดไม่เอาผู้หญิงมาเป็นเมีย ก็จะหันหน้าเข้าสู่พรหมจรรย์นั่นสิ การที่จะตัดหรือไม่ได้ตัด การรู้หรือไม่ได้รู้ มันอยู่ที่ว่าภาวะตามวิถีแห่งธรรม เราต้องตั้งฐานจิตของเราให้เป็นไปตามวิถีแห่งธรรมจะดีกว่า ไม่ใช่ว่าเรานึกอยากอะไรแล้วก็จะเป็นอย่างนั้นได้
ถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็บ้า เพราะว่าพระบางรูปบวชมา ๕๐๐ ชาติ ยังไม่เป็นพระอรหันต์เลยก็ยังมี มาพูดเข้าข้างตนเองว่าคิดอย่างนี้จะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว กลัวคิดไปแล้วจะตัดแล้ว นี่แหละบ้าไปล่ะ
นี่เป็นการคิดพิจารณาตามความเป็นจริงแห่งธรรม แต่ภาวะภูมิของเรา เราตามภาวะภูมิของเราอะไร ซึ่งยังมีภาวะของภูมิของเราอีก อย่างนั้นเป็นการคิดเพื่อให้เกิดความรู้ เพื่อให้รู้ เป็นข้อมูล พอเรารู้ตรงนี้ทำให้เราไม่ทะยานอยากได้ผู้หญิง แล้วถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วมันเสียหายตรงไหน? ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย พอเรามาคิดแบบนี้ทำให้เสียหาย เราจึงหนีความจริง พอหนีความจริงแล้วอีกข้างหนึ่งก็รุนแรง เพราะเราไม่มีตัวเบรค ถามว่ารถมีเบรคดีแล้วมันเสียหายตรงไหน? หรือว่ารถไม่เอาเบรค รถก็ต้องมีเบรค แล้วเป็นเบรคแล้วจะเสียหายตรงไหน
นี่แหละหลงภูมิตนเอง ไปกระโดดภูมิ บางคนคิดอย่างนี้ หลงภูมิตนเองว่าทำเช่นนั้นได้ แล้วพอทำไม่ได้ เดี๋ยวก็จะเป็นบ้า นี่แหละอย่างนี้ส่ออาการบ้า ส่ออาการไม่รับความจริง เพราะไม่ยอมรับความจริงว่า วาระแห่งภูมิเวลานี้มันคืออะไร เราต้องเป็นยังไง ไม่บ้าได้ยังไง เวลาเราเข้าไปในโรงพยาบาลสวนปรุงก็จะได้ยินเสียงเสด็จพี่ๆ อยู่นั่นแหละ ก็จะวุ่นวาย
แล้วเรามาคิดต่อว่า เราจะช่วยเหลือผู้หญิงนี่ได้อย่างไร เพราะของขาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ลูกชิ้น หรือกล้วยที่เขาขาย มันอาจจะไม่อร่อย
การไปช่วยซื้อนี้เป็นของเก๋ เป็นเมตตาปลอบโยน แล้วเราจะช่วยยังไง เราต้องช่วยให้เรามีปัญญา พอเขามีปัญญาเขาก็จะไม่อยู่ห้วงแห่งทุกข์ พอเขาไม่อยู่ห้วงแห่งทุกข์ของๆ เขาก็จะขายดีเอง พอลูกค้าเข้าไปซื้อหน้าตาบอกบุญไม่รับ แล้วใครจะไปซื้อ พอเข้าไปหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ก็จะมีบารมีก็ทำให้ขายได้
สิ่งที่ดีที่สุดของเราคือ อย่าให้เขาหลงทาง ให้เขายอมรับความจริง ถ้าไม่เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็จะหลงทาง เขาก็จะทุกข์เรื่อยๆ แล้วใบหน้ามีความทุกข์แล้วจะไปทำอะไรได้
เราก็จะสอนเขาใช้วิธีการแบบเซ็น คือ เอาของไปฝากแล้วให้มันเน่า คือ ซื้อเนื้อหรืออะไรก็ได้ที่ยังดีๆ อยู่ แล้วอีก ๕-๖ วันแล้วค่อยไปหาเขา ของมันก็จะเน่า แล้วเราก็ลืมไปเอา
ของเน่าเราจะเอาไปกินก็ไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยวาง ปล่อยคืนสู่ธรรม ภาวะเช่นนั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว การมีผัวเช่นนั้นมันผ่านภาวะเช่นนั้นมาแล้ว เราจะให้เหมือนเดิมเป็นไปไม่ได้ ให้เขายอมรับความจริง
---------------------------
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์