พญานาค คืออะไร มีจริงหรือไม่?


<
พญานาค คืออะไร มีจริงหรือไม่?

พญานาคมีจริงหรือไม่อย่างไร แล้วพญานาคแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร จะขออธิบายตามลำดับดังนี้

ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา พญานาคบางครั้งก็เป็นคน บางครั้งก็เป็นงู บางครั้งก็เป็นพลัง อย่างนี้คล้ายๆ กับว่าเราต้องติดอยู่ในรูปของคำว่าพญานาคไหม? และคำว่าติดรูป แล้วเราจะไปไหน ก็ต้องอยู่ในรูป คือ พอพญานาคต้องเป็นเช่นนี้ๆ จะเป็นอย่างอื่นแล้วไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง

สมมติ เวลานี้เราเห็นลมหรือเปล่า? ถ้าเราไม่เห็นธงสบัดเราก็จะมองไม่เห็นลมใช่มั้ย ถ้าลมไม่มาสัมผัสเรา เราก็ไม่รู้ว่ามีลมใช่ไหม? ทำไมสิ่งที่มาสัมผัสเราเรียกว่า "ลม"

ลมนี้ ภาษาฝรั่งเรียกว่า ไวด์ (Wind) เขาก็เถียงกันหัวปักหัวปำ แต่ที่จริงก็คืออันเดียวกัน

พญานาคเป็น"พลัง" ใครจะยึิดตรงไหนก็ว่ากันไป แต่ที่จริงแล้ว พญานาคเป็นพลังในธรรม พลังแห่งความเจริญ การดูแลน้ำ ให้น้ำ ปกป้องน้ำ

พญานาคที่เราเห็นมีหงอน แต่ถ้าเราไปที่ประเทศอินเดียเราหาพญานาคแบบมีหงอนไม่เจอ มีแต่งู นาคของอินเดียก็คืองูเห่า

ทำไมพญานาคถึงต้องมีหงอน แนวคิดนี้จะอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนที่อยู่แถบแม่น้ำโขงนี้นับถือพญานาคแบบมีหงอนหมด

ถ้าเราหลับตาแล้วเอารูปพญานาคมาดู เดี๋ยวเราก็เห็นพญานาคโผล่ไปโผล่มา เพราะว่าสายน้ำทำให้เราคิด เป็นจินตะ แต่ถามว่าในสายน้ำมีพญานาคมั้ย ตอบว่า "มี" คือมีพลังของการขับเคลื่อนตรงนั้น ถ้าไม่มีพลังขับเคลื่อนน้ำจะใหลหรือไม่? ก็ไม่ใหล

ถ้าน้ำใหล ทำให้ขับเคลื่อนไหม ก็ไม่ทั้งหมด แต่เป็นเพราะว่า แรงดึงดู แรงสูงต่ำ ทำให้เกิดน้ำใหล น้ำใหลก็ทำให้เกิดพลัง พลังสะสมดันให้น้ำเป็นรูปขึ้นมา พอคนเห็นจะเรียกว่ายังไงดี ก็เรียกว่า "พญานาค" เพราะว่าพลังตรงนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

ถ้าเราบอกว่า พลังนั้นๆ พลังนั้นๆ เราก็ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องตั้งชื่อ แบบคน คนทั่วไปถึงจะรู้จัก เช่น ชื่อดาว ชื่อนัท ชื่อแพนเค้ก เราก็รู้ทันที ชัดเจน

พญานาคเป็นชื่อคนตั้งขึ้นมา แต่ "พลัง" เป็นของธรรม

ทุกอย่างเป็นธรรมหมด เช่น องค์พ่อพรหมที่อินเดีย เราหาองค์พ่อพรหมอย่างประเทศไทย หาไม่เจอแน่ๆ แขกเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นพ่อพรหมหนวดยาวๆ นี่รู้ และพ่อพรหมต้องแก่เฒ่าด้วย

แต่พลังเป็นพลังเดียวกัน ถ้าเราหลงติดรูปลักษณ์แล้ว แล้วไม่เข้าใจถึงพลัง เราก็จะเวียนหัว เถียงกันไม่จบ

พลังพญานาค จะเป็นพลังหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตขึ้น สังเกตได้จากการสร้างบ้านแปลงเมืองสมัยโบราณกาลจะต้องสร้างอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ถึงจะเจริญรุ่งเรืองได้ เช่น อียิปต์ (Egypt) ก็จะตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำไนล์ (Nile)

แม่น้ำไนล์เกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำสายใหญ่ ๒ สายคือ แม่น้ำบลูไนล์ (Blue Nile) จากประเทศเอธิโอเปีย และแม่น้ำไวท์ไนล์ (White Nile) จากบริเวณแอฟริกาตะวันออก มารวมตัวกันในประเทศซูดาน (Republic of the Sudan) จากนั้นไหลผ่านประเทศอียิปต์ และไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea)

ถือว่าแม่น้ำไนล์เป็นพลังพญานาคที่จะทำให้การสร้างประเทศตรงนั้นเจริญรุ่งเรือง เลี้ยงดูให้เจริญรุ่งเรือง

ประเทศจีน(中華人民共和國) ก็จะมีแม่น้ำแยงซีเกียง(揚子江) หรือแม่น้ำฉางเจียง(長江)เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับที่ ๓ ของโลก รองจากแม่น้ำไนล์ในทวีปแอฟริกาและแม่น้ำอะเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แม่น้ำแยงซียาว ๖,๓๐๐ กิโลเมตรต้นน้ำอยู่ที่มณฑลชิงไห่และทิเบต ในทิศตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน และไหลมาทางทิศตะวันออก ออกสู่ทะเลจีนตะวันออก

ประเทศไทยก็จะมีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำโขง เป็นต้น


"พญานาค" กับ "พระแม่คงคา" เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?

พระแม่คงคากับพ่อพญานาคมีความแตกกต่างกัน

น้ำจะเป็นของพระแม่คงคา ผู้ที่จะบริหารจัดการ เปรียบเสมือน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำนี่เป็นหน้าที่ของพญานาค หรือจะพูดง่ายๆ ว่า

พญานาค เปรียบเสมือนเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ แต่น้ำเป็นของพระแม่คงคา พระแม่คงคามอบหน้าที่ให้พญานาคมาดูแลน้ำของโลก

พระแม่คงคาก็เสด็จลงมายุ่งเกี่ยวกับน้ำเช่นเดียวกัน เพราะว่าเป็นเจ้าของแห่งน้ำทั้งหมด องค์พ่อพญานาคเป็นผู้ปฏิบัติงาน เหมือนกับพระแม่ธรณี มีพ่อเวสสุวรรณเป็นผู้ปฏิบัติงาน แต่ก็ต้องมีพระแม่ฯ เป็นประธาน ประธานจะบอกว่าฉันไม่เกี่ยวเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นประธานต้องดูแลน้ำทั้งหมด แต่ว่าท่านได้มอบหมายให้พ่อพญานาคดูแลให้แล้ว

สมมติว่าเป็นประธานกรรมการบริษัท ก็ต้องมีผู้จัดการ แต่ละสายก็เป็นผู้จัดการแต่ละสายที่ถูกมอบหมายให้ไปทำหน้าที่ ทั้งไปจัดการ ทั้งหมดนี้ก็ต้องมาที่ประธานให้รับรู้

การกระเพิ่มของสายน้ำ เราถือว่าเป็นเกล็ดของพญนาค แม้ว่าเราไปดูรูปพญานาคก็จะออกมาเหมือนกับสายน้ำเลย แม้แต่มังกรก็เหมือนกัน คล้ายๆ กัน ต้องมีเกล็ด

แต่ถ้าบางคนที่มีภูมิปัญญาไม่ลึก ตื้นๆ ก็จะดูแต่รูปธรรม จะไม่เข้าถึงพลัง ที่เป็นนามธรรม

ถ้าออกจากมิติของพลังแล้วออกมาเป็นรูปธรรม เขาก็จะมองเห็นพลังนี้กลายเป็นรูปพญานาคใช่หรือไม่ ตอบว่าไม่ใช่

ขอเริ่มต้นพญานาคก่อน จะเริ่มต้นจากพลังก่อน ผู้ที่มีภูมิปัญญาสูงเข้าถึงพญานาคก็จะเห็นพญานาค แต่ถ้าให้คนที่มีภูมิปัญญาทางนี้ต่ำจับเป็นพลังก็จะจับไม่ถูก สัมผัสพลังพญานาคไม่ได้ มนุษย์ยังเป็นภูมิต่ำ ยังไม่ได้ ผู้มีที่ภูมิปัญญาสูง ผู้รู้ท่านก็จะเห็นเกิดเป็นนิมิต นิมิตตรงนี้ก็คือจินตะ (จินตนาการ) ให้เห็นก็จะตกแต่งออกมาให้เหมือน เป็นรูปธรรมออกมาให้เขาได้จับ ให้คนทั่วไปได้เข้าถึงพญานาคได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีรูปองค์พญานาค คิดแต่เพียงเป็นพลัง คนที่ภูมิต่ำก็จะยังไม่เข้าใจ แม้ทำยังไงก็จะไม่เข้าใจอยู่ดีว่า พญานาคเป็นเช่นใด

สมมติว่า คนพวกหนึ่งมาคลุกคลีกับสิ่งแวดล้อม ณ สถานที่ที่แห่งหนึ่ง เขาก็จะจินตะเป็นพญานาค ทางจีนเขาก็เป็นพลังของมังกร (龍)

บางคนเข้าถึงจินตะ บางครั้งก็ฝันเห็นเป็นพญานาคมาหา พญานาคก็มาหาจริงๆ ตามที่จินตะไว้ตามภาพที่จินตะเป็นรูปธรรม

เช่นเหมือนกับเวลานี้ โทรศัพท์มือถือ มีรูปร่างรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูอย่างนี้เรื่อยๆ เราก็คิดแบบตามนี้ว่า มือถือเป็นเช่นนี้ รูปลักษณ์ยาวๆ สี่เหลี่ยมยาว ต้องคิดแบบตามนี้ จะคิดเหนือข้างในไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ เพราะว่าผู้รู้ได้สร้างรูปแบบมา เช่น โทรศัพท์มือถือเมื่อก่อนเล็กนิดเดียว แต่ปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาให้ใหญ่ขึ้น มีลูกเล่นได้เยอะขึ้น เวลาดูมือถือก็จะเก็บไปฝัน ไปคิด เป็นรูปธรรมที่จะเข้าภาพของเรา สมองของเราที่จะเก็บภาพ

และอีกอย่างหนึ่ง มีครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคยลงไปเมืองบาดาลอย่างนี้ ที่ท่านลงไปเมืองบาดาลเกิดจากการจินตะ หรือว่าจิตของท่านพุ่งเข้าไปในเมืองบาดาลที่จินตะนี้ ตัวท่านไม่ได้ลงไปจริงๆ

ครูบาอาจารย์ระดับนี้ยังอยู่ในภูมิแห่งความเป็นรูปธรรม ยังไม่หลุดออกจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม เข้าสู่นามธรรมไม่ได้ อย่าไปคิดว่าเป็นหลวงปู่แล้วจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ นั่นไม่ใช่ เพราะท่านยังอยู่ในโลกแห่งรูปธรรม

แล้วอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ว่าสามเณรเข้าไปในหลุมบ่อพญานาค จะเป็นกี่อย่างก็ได้ก็เหมือนกันหมด เขาก็ยังอยู่ในรูปธรรม ก็แล้วแต่รูปธรรมของสิ่งแวดล้อม คติของเขาที่จะไปปรุงแต่งขึ้นมา เราจะต้องแยกให้ออกอย่าไปหลงกล ถ้าเข้าไปหลงกลแล้วเราจะทะเลาะกันไม่จบ อันนั้นเป็นสิ่งนิมิตปรุงแต่ง แต่ว่าเป็นพลังต่างๆ นี้เป็นในธรรม แต่พลังในธรรมจะดำรงอยู่ แต่รูปธรรมนี้ก็จะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม ตามเหตุปัจจัย เหตุคติ ฯลฯ

เช่น คติของเอเชีย พญานาคจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไปประเทศอินเดียพญานาคไม่ใช่อย่างไทย แต่จะเป็นงูเห่าเฉยๆ แต่ถ้าไปดูประเทศจีนก็จะเป็นมังกร ถ้าไปดูของฝรั่งก็จะมีปีก เขาอยู่ในรูปของนิมิตจินตะ จินตะของรูปธรรม ถ้าเข้าสู่นิมิตจินตะของพลัง พลังจะยังคงมีความลึกตื้นหนาบางไปเรื่อยๆ

บั้งไฟพญานาคเกิดจากอะไร เกิดจากนิมิตจินตะ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ในเว็บไซต์ของผู้จัดการออนไลน์กล่าวว่า

ในจังหวัดหนองคาย มีการเกิดปรากฏการณ์ประหลาดมีลูกไฟสีชมพูพุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง ตั้งแต่ระดับ ๑-๓๐ เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ ๕๐-๑๕๐ เมตร เป็นเวลาประมาณ ๕-๑๐ วินาที ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ชาวบ้านเรียกว่า บั้งไฟผี หรือ บั้งไฟพญานาค โดยจะเกิดปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของไทยหลายฉบับสรุปว่า บั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนต่อออกซิเจนได้ ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง ๔.๕๕ - ๑๓.๔๐ เมตร ตำแหน่งที่มีสารอินทรีย์พอเหมาะใต้ผิวโคลน หรือทรายท้องแม่น้ำโขง ซึ่งระดับน้ำขนาดนี้จะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า ๑๕ องศาเซลเซียส (ปริมาณออกซิเจนน้อย)

MGR Online กล่าวว่า ทั้งนี้ในวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค คือวันที่แสงแดดส่องลงมาในช่วงเวลาประมาณ ๑๐,๑๓ และ๑๖ นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า ๒๖ องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอที่จะย่อยสลายอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมักมากว่า ๓-๔ ชั่วโมง ซึ่งมากที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ

ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบางส่วนจะฟุ้งกระจายออกไป ส่วนแกนในของก๊าซขนาดเท่าหัวแม่มือจะพุ่งขึ้นสูงกระทบกับออกซิเจน รวมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงของคืนที่เกิดเหตุการณ์ทำให้เกิดการสันดาปอย่างรวดเร็วจนติดไฟได้ ดังนั้นดวงไฟหลากสีที่เราพบเห็นจะเป็นสีแดงอำพัน (เหลือง)

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะเป็นเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม กันยายน และตุลาคม เพราะโลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดทำให้รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตเพิ่มปริมาณสูงขึ้นและเจาะทะลวงยังพื้นโลกได้มากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ตั้งอยู่ในแถบแนวเส้นศูนย์สูตรที่สามารถรับแสงอาทิตย์ได้มาก

เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองในแกนที่เอียงทำมุม ๒๓.๕ องศา กับดวงอาทิตย์ทำให้ซีกโลกในเวลากลางคืนของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด ๑๕-๔๕ องศาเหนือและองศาใต้ อยู่ห่างจากแนวแรงรวมของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ไม่เกิน ๒๕ องศาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนกันยายน,ตุลาคม,เมษายน และพฤษภาคม ทำให้มีปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในหลายประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว (https://mgronline.com/science/detail/9470000073245

สิ่งที่พุ่งขึ้นมานี้เป็นพลัง คนที่มีนิิมิตจินตะ ก็จะนิมิตจินตะเป็นพญานาคพ่นพุ่งขึ้นมาจากสายน้ำ

ทำไมลูกไฟจะต้องพุ่งขึ้นตรงกับวันออกพรรษา เพราะว่า ในคืนนั้นมีออกซิเจน (Oxygen : O2) ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก เป็นวาระของธรรม

จะเห็นได้ว่าเป็นวาระแห่งธรรม บางปีก็พุ่งลูกไฟมาก บางปีก็มีน้อย ไม่ใช่แน่นอนทุกปี บางปีก็ไปโผล่ขึ้นอีกที่หนึ่ง แต่เป็นระหว่างตรงนั้น เหมือนกับพระจันทร์ พอถึงวาระก็เต็มดวง แต่บางวันจันทร์เพ็ญเราเห็นแต่บางจันทร์เพ็ญเราไม่เห็น ต้องขึ้นกับสิ่งแวดล้อมของเมฆ แต่ถ้าถึงวาระพระจันทร์ก็จะสว่างจันทร์เพ็ญเต็มดวง

อย่างเช่นหลวงพ่อท่านไปเห็นสวรรค์เป็นเช่นนี้ แล้วเราจะไปเถียงว่าสวรรค์ของคริสต์หรือเปล่า จะต้องไปเถียงสวรรค์ของอิสลามหรือไม่ คนละเรื่องกัน เถียงกันตายแต่เรื่องก็ยังไม่จบ แม้แต่นรกยมบาลของไทยแต่งชุดสีแดง นุ่งจูงกระเบน แต่ของจีนก็แต่งออกเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่งเป็นกี่เพ้า จะเถียงโต้แย้งกันไม่จบ เราต้องแยกว่านี่เป็นนิมิตจินตะ ยังอยู่ในโลกของรูปธรรม แต่พลังนี้อยู่ในโลกของนามธรรม นามธรรมยังถือว่ามีอย่างนี้ๆ จนในที่สุดไม่ใช่ เป็นพลังแห่งธรรม เราต้องแยกตรงนี้ให้ได้ แล้วเราจะเข้าใจทั้งหมด ทั้งองค์ธรรม แล้วเราจะไม่ขัดแย้งกัน รู้ว่ามาจากไหน

เช่น พญานาคนี้มีหงอน มาจากถิ่นภูมิศาสตร์ยังไง จะต้องมาจากตรงนี้ เป็นรูปธรรมของสิ่งนี้ แต่ในพลังเหมือนกัน

บางคนเห็นสวรรค์ นี่เป็นพลัง บางคนก็เห็นพระอินทร์ขี่ช้างเอราวัณ พระอินทร์ของฝรั่งไม่ได้ขี่ช้าง ของจีนเง็กเซียนฮ่องเต้ (玉皇大帝) ไม่ก็ขี่ข้าง แต่ก็เป็นพลังเดียวกัน แล้วแต่ว่าเป็นนิมิตจินตะ แล้วแต่สิ่งแวดล้อม แล้วแต่ชนชาติของใครเขา เพราะสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน

คนที่มีภูมิปัญญาเข้าถึงพลัง ได้พยายามปริวัฒน์พลังแห่งพญานาคนี้ให้ออกมาเป็นรูปธรรม ของท้องถิ่นของเขา เพื่ิอให้เขาเข้าใจแล้วมีที่จับต้องได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่จับต้องได้ เขาไม่สามารถดำรงความเป็นศรัทธาได้

สมมติว่าเราบอกว่าเป็นพลัง อีกคนหนึ่งเขาไม่รู้ ไม่รู้จะจับต้องอย่างไรในเมื่อของเขา จินตะของเขาอ่อน ถ้ามีรูปภาพ มีรูปปั้น มีองค์ให้เขาจับต้องได้ เขาก็จะเข้าใจง่าย เห็นด้วยตา สัมผัสได้


ทำไมพ่อพญานาคต้องพ่นไฟได้ พ่นน้ำได้

แล้วทำไมพ่อพญานาคต้องพ่นไฟได้ พ่นน้ำได้ เป็นปริศนาธรรมว่า พญานาคมีทั้งทางด้านลบ (-) และด้านบวก (+) มีธาตุทั้ง ๔ อยู่ในตัว พ่นไฟ เป็นธาตุไฟ พ่นน้ำ เป็นธาตุน้ำ เหาะเหินเดินอากาศได้เป็นธาตุลม เนื้อตัวของท่านเป็นธาตุดิน ยังไงธาตุทั้ง ๔ ก็อยู่ตัวองค์พญานาค

แต่ละพลังหนีไม่พ้นว่าธาตุทั้ง ๔ อยู่ในนั้น เพียงแต่ธาตุไหนจะเป็นประธาน บางกรณีธาตุไฟเป็นประธาน บางกรณีไปถึงตรงนั้นจะให้น้ำเป็นหล่อเลี้ยงก็ให้ธาตุน้ำเป็นประธาน

ถ้าหากว่ามีสิ่งเกินเลย ก็จะถล่มทลาย เช่น น้ำมีมากใหลมากลายเป็นน้ำป่าใหลหลาก กลายเป็นน้ำท่วม คนก็จะต้องเดือดร้อน คนเขาก็จะระลึกว่าตนเองได้ทำสิ่งใดผิดแน่ๆ พญานาคลงโทษ ก็จะกลายเป็นคำเตือน เป็นอุทธาหรณ์สิ่งต่างๆ ของธรรม อะไรมันเกินก็จะเป็นโทษ เช่น ทำร้ายธรรมชาติตรงนี้เกินไป น้ำก็จะท่วม เป็นอุทธาหรณ์วาระของธรรม

ที่นี่ทางผู้รู้ก็จะจัดสรรออกมาเป็นรูปธรรมให้เป็นกฎกติกา ให้คนยึดถือไว้ ก็จะสมดุล

ถ้าน้ำแห้งแล้ง แสดงว่าเราจะต้องทำอะไรผิด ถูกพญานาคไม่ได้ให้น้ำเรา เราก็จะต้องมาสำนึกผิดว่า สิ่งไหนเราผิดเราก็จะมาขอโทษ มีการไหว้ บนบานศาลกล่าวอะไรต่างๆ

ในประวัติศาสตร์ไทยหรือจีน น้ำแห้งแล้งเกินไปหรือน้ำท่วมเกินไป จักรพรรดิ กษัตริย์ ราชาผู้ปกครองก็จะมีการไปบวงสรวงบอกกล่าวฟ้าดิน แสดงว่ามีอะไรผิดแล้ว เพราะว่าถือว่ากษัตริย์เป็นผู้น้ำ เหมือนกับเป็นพ่อของเรา แต่เป็นลูกของฟ้า

การบวงสรวงแล้วจะให้ฝนตกนี้ได้หรือไม่ ตอบว่า ได้ เพราะว่า คิดง่ายๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดแคลนสิ่งใด ขาดแคลนพลังอะไร ก็จะเกิดเหตุ เกิดผลเช่นนั้น การบวงสรวงเป็นการไปเติมส่วนที่ขาดบกพร่องนั้นให้เต็มขึ้นมา

สิ่งเหล่านี้เป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่เข้าไปนี่เป็นตัวจิต เป็นตัวพลัง ตัวนามธรรม พอนามธรรมถูกสมดุลแล้ว รูปธรรมก็สมดุลตาม เพราะว่าเป็นของคู่กัน เราอย่าลืมว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

เราจะสังเกตได้จากบางคน ถ้าจิตเขารู้สึกอิ่ม เต็ม ใบหน้าเขาก็จะเอิบอิ่ม เต็มเปี่ยม ใบหน้าบางคนเศร้าหมอง ก็เพราะในจิตใจเขาเศร้าหมองตลอด นี่แหละจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

การบวงสรวงเป็นการเติมเต็มทางจิตวิญญาณ คือทางจิต เพราะถ้าข้างในตัวพลังเติม เต็มถูกต้อง ข้างนอกก็จะถูกต้อง

ยกตัวอย่าง บางคนเวลานี้เขาละเลยไม่นับถือ นับถือจิตอีกข้างหนึ่ง บกพร่องใช่มั้ย พอมาบวงสรวงทุกคนกลับมานับถือ จิตตัวศรัทธาตรงนี้ก็จะเต็มขึ้นมา ข้างในก็จะเกิดความสมดุล ความสมดุลก็จะส่งผลให้เป็นรูปธรรมตามนั้น สิ่งเหล่านี้อธิบายได้ เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ลึก แต่ต้องเป็นคนมีภูมิปัญญาถึงจึงจะอธิบายให้เข้าใจได้ เพราะถ้าไม่สูง เข้าไปสู่พลังข้างในเขาจะจับต้องไม่ได้ จิตเขาไม่ละเอียดพอ ความชำนาญของจิตไม่พอ เขาก็จับต้องไม่ได้ มองไม่ออก เข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ แต่จริงๆ สัมพันธ์กันหมด   




 8,047 

  ความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย