ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในวทริการามเมืองโกสัมพี
ทรงปรารภพระราหุลเถระ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้
พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง หลังจากเรียนจบศิลปวิทยาจากเมืองตักกสิลาแล้ว
ได้ออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์วันหนึ่งพระฤาษีได้สัญจรไปที่บ้านชายแดนหมู่บ้านหนึ่ง
คนในหมูบ้านนั้นได้สร้างอาศรมถวาย จึงได้อาศัยอยู่ที่นั้นเรื่อยมา
สมัยนั้น
มีนายพรานนกคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น เลี้ยงนกกระทาไว้ตัวหนึ่งเพื่อไว้เป็นนกต่อ
ทุกวันเขาจะพานกกระทาไปเพราะอาศัยเสียงของเรา ได้ตายไปเป็นจำนวนมาก
เป็นบาปกรรมของเราหนอ นับแต่นี้ไปเราจะไม่ส่งเสียงร้องละ"
นายพรานเมื่อเห็นนกกระทาไม่ร้องก็ใช้ไม้ตีหัว นกกระทากลัวตายจึงร้อง
สร้างความทุกข์ลำบากให้แก่มันเป็นอย่างมาก อยู่ต่อมาวันหนึ่ง
นายพรานจับนกกระทาได้เต็มกระเช้าแล้ว คิดจะดื่มน้ำไปที่อาศรมของพระฤาษีโพธิสัตว์
วางกรงนกไว้แล้วดื่มน้ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงเอนกายผล่อยหลับไป
นกกระทาทราบว่านายพรานหลับ
แล้ว จึงถามความสงสัยของตนกับพระฤาษีว่า "พระคุณเจ้าข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายได้บริโภคอาหารตามชอบใจ
แต่อยู่ในระหว่างอันตราย อยากทราบว่าทางเดินชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ?"
พระฤาษีแก้ปัญหานกกระทาว่า
"นกกระทาเอ๋ย.. ถ้าใจของเจ้าไม่น้อมไปเพื่อกรรมอันเป็นบาป
บาปย่อมไม่แปดเปื้อนเจ้าผู้บริสุทธิ์ใจไม่คิดจะทำบาปกรรมดอก"
นกกระทาถามต่ออีกว่า
พระคุณเจ้า นกกระทาจำนวนมากคือญาติของข้าพเจ้า นายพรานอาศัยข้าพเจ้าทำปณาติบาตอยู่
ข้าพเจ้ารังเกียจเรื่องนี้มาก บาปกรรมจะมีถึงแก่ข้าพเจ้าไหมหนอ"
พระฤาษีจึงตอบเป็นคาถาว่า
"ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้ายไซร้
กรรมชั่วที่นายพรานอาศัยท่านกระทำแล้ว ย่อมไม่ถูกต้องท่านบาปกรรมย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์
ผู้มีความขวนขวายน้อย"
แล้วก็พูดให้นกกระทาสบายใจว่า
"เจ้าไม่มีความจงใจการทำปาณาติบาต บาทกรรมจึงไม่มีแก่เจ้าผู้บริสุทธิ์ดอกนะ"
นกกระทาได้ฟังแล้วก็สบายใจนิ่งเงียบอยู่ ฝ่ายนายพรานตื่นนอนแล้วลุกขึ้นไหว้ฤาษีแล้วก็ถือกรงนกกระทากลับบ้านไป
|