ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ
ผู้ไม่รู้เรื่องในวิธีการให้สลากภัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก
ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในสมัยของพระเจ้าพรหมทัต ครองเมืองพารารณสี
แคว้นกาสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพนักงานตีราคา
ทำหน้าที่ตีราคาแลกเปลี่ยนสินค้าในพระคลังหลวงด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
พระราชามีความโลภทรงดำริว่า "
ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่นานทรัพย์ในท้องพระคลังจักหมดสิ้นไป
" จึงตั้งชายชาวบ้านผู้โง่เขลา
ผู้หนึ่ง เป็นพนักงานตีราคาแทนพระโพธิสัตว์นั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์มักจะอยู่เบื้องหลังการตีราคาสินค้าเสมอ
มักตีราคาเอาตามความชอบใจ
วันหนึ่ง มีพ่อค้าม้าคนหนึ่ง
นำม้า ๕๐๐ ตัว มาจากแคว้นอุตตราปถะเพื่อแลกเปลี่ยน
ถูกพนักงานตีราคาม้า ๕๐๐ ตัว ด้วยข้าวสารทะนานเดียว
ทำให้พ่อค้าเสียใจเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปที่บ้านของพระโพธิสัตว์เพื่อปรึกษาขอความเป็นธรรม
พระโพธิสัตว์จึงแนะนำให้พ่อค้าม้าติดสินบนพนักงานตีราคาแล้วให้เขาตีราคาข้าวสารทะนานหนึ่งใหม่
เมื่อปรึกษากันเช่นนั้นแล้วก็ชวนกันไปเข้าเฝ้าพระราชาพร้อมอำมาตย์และประชาชนเป็นจำนวนมาก
พร้อมให้พนักงานตีราคาข้าวสารทะนานหนึ่งใหม่
พ่อค้าม้าได้กราบทูลพระราชาว่า
" ข้าแต่สมมติเทพ
ข้าพระองค์ทราบว่า ม้า ๕๐๐ ตัว มีราคาเท่าข้าวสารหนึ่งทะนาน
แต่ข้าวสารทะนานนี้ มีราคาเท่าไร ? ขอพระองค์โปรดถามพนักงานตีราคาเถิด
พระเจ้าข้า " เมื่อพระราชาถามพนักงานตีราคา
เขาจึงกราบทูลว่า "
ข้าวสารทะนานนี้ มีราคาเท่ากับเมืองพาราณสีทั้งเมือง
พะย่ะค่ะ "
พระโพธิสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงถามเป็นคาถาว่า
"
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ตรัสว่า ข้าวสาร
๑ ทะนานมีราคาเท่ามูลค่าม้า ๕๐๐ ตัวหรือ
และข้าวสาร
๑ ทะนานนี้มีค่าเท่ากับกรุงพาราณสีทั้งภายในภายนอกเชียวหรือ
"
พวกอำมาตย์และประชาชนทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น
จึงพากันตบมือหัวเราะเยาะเย้ยว่า "
เมื่อก่อนพวกเราเข้าใจว่า แผ่นดินและราชสมบัติเมืองพาราณสีนี้มีค่าหาประมาณมิได้
แต่ที่ไหนได้ กลับมีค่าเพียงข้าวสารทะนานเดียวเท่านั้นหรือ
โอ ! ท่านช่างเหมาะสมกับพระราชาเราเสียจริง
ๆนะ " พระราชาทรงละอายพระทัยยิ่ง
จึงรับสั่งให้ขับไล่พนักงานตีราคานั้นหนีไป
ทรงแต่งตั้งให้พระโพธิสัตว์เป็นพนักงานตีราคาเหมือนเดิม
|