ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภเรื่องประโยชน์ของฤกษ์ เรื่องมีอยู่ว่า
วันหนึ่ง
มีชาวบ้านนอกคนหนึ่ง ไปขอสาวในเมืองสาวัตถีให้ลูกชายของตน
พร้อมกำหนดนัดวันแต่งงานไว้แล้ว ครั้นถึงวันแต่งานได้ไปสอบถามฤกษ์กับนักบวชอาชีวกว่าดีหรือไม่
นักบวชอาชีวกโกรธที่เขาไม่ได้มาปรึกษาก่อนในคราวแรกจึงพูดว่า
" วันนี้ฤกษ์ไม่ดี
ท่านอย่ากระทำการมงคลใดๆ ขืนทำลงไปจะเกิดความพินาศ
" พวกเขาพากันเชื่ออาชีวกจึงไม่ได้ไปรับตัวเจ้าสาวในวันนั้น
ฝ่ายชาวเมืองสาวัตถีได้จัดเตรียมงานมงคลไว้พร้อมเพรียงแล้ว
แต่ไม่เห็นพวกเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวสักที จึงตกลงกันว่า
" พวกนั้น กำหนดนัดวันนี้แล้วกลับไม่เห็นมา
งานของพวกเราก็ใกล้จะเสร็จแล้ว พวกเราจะยกลูกสาวให้คนอื่นไปเสีย
" จึงได้จัดงานแต่งงานด้วยมงคลที่ได้เตรียมไว้แล้วนั้น
ในวันรุ่งขึ้นพวกบ้านนอกที่ขอไว้ก็มาถึง
ทันทีที่เห็นหน้ากันพวกชาวเมืองก็พากันด่าพวกบ้านนอกว่า
" พวกท่านสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นคนบ้านนอก
ขาดความเป็นผู้ดี กำหนดนัดวันไว้แล้ว กลับไม่มาตามนัด
เชิญกลับไปตามทางที่มานั้นแหละ พวกเรายกเจ้าสาวให้คนอื่นไปแล้วละ
"
พวกชาวบ้านนอกจึงทะเลาะกับชาวเมืองด้วยเหตุอันนี้
เรื่องที่อาชีวกทำลายงานมงคลของผู้คนเป็นที่ทราบกันไปทั่ว
แม้กระทั่งภิกษุในวัด
ในเย็นของวันหนึ่ง
พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภาถามเรื่องประโยชน์ของฤกษ์แก่พระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์จึงตรัสเป็นพระคาถาว่า
"
ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลาที่มัวรอคอยฤกษ์ยามอยู่
ประโยชน์นั่นแหละเป็นฤกษ์ของประโยชน์
ดวงดาวทั้งหลายจักทำอะไรได้ "
|