ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีชื่อกาฬกรรณี
เรื่องมีอยู่ว่า...
ทราบว่า มิตรของท่านเศรษฐีผู้นี้
เคยเป็นสหายร่วมเล่นฝุ่นและร่วมสำนักเรียนอาจารย์คนเดียวกัน
ต่อมาเขาตกทุกข์ได้ยาก จึงมาหาเศรษฐีช่วยทำกิจการงานต่าง
ๆ ที่จะทำได้ แต่ชื่อของเขาได้สร้างความไม่สบายใจแก่หมู่ญาติของท่านเศรษฐี
พวกเขาจึงเข้าไปพบท่านเศรษฐีและขอร้องให้ส่งนายกาฬกรรณีหนีไปเสีย
ท่านเศรษฐีจึงบอกว่า
" หมู่บัณฑิต
มิได้ถือชื่อเป็นประมาณ เราไม่อาจอาศัยเหตุเพียงชื่อแล้วทิ้งเพื่อนผู้เล่นฝุ่นมาด้วยกันได้
"
วันหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปบ้านส่วยของตน
ได้มอบหมายให้นายกาฬกรรณีเป็นผู้แลรักษาเคหะสถาน
(รปภ.) พวกโจรคบคิดกันว่า "
เศรษฐีไม่อยู่ พวกเราจะปล้นบ้านของเขา "
ต่างพากันถืออาวุธไปล้อมเรือนของเศรษฐีไว้ในเวลากลางคืน
ฝ่ายนายกาฬกรรณี ระแวงอยู่ว่าโจรจะปล้น จึงนั่งเฝ้าไม่ยอมหลับนอน
ครั้นเห็นว่าพวกโจรจะมา ก็ปลุกผู้คนด้วยการให้ประโคมดนตรีเหมือนมีมหรสพโรงใหญ่
บรรเลงตลอดทั้งคืน จนรุ่งแจ้งพวกโจรไม่มีโอกาสเข้าปล้นจึงทิ้งอาวุธไว้แล้วหลบหนีไป
รุ่งขึ้น ผู้คนเห็นก้อนดินและไม้พลองเป็นต้น
จึงได้ทราบเหตุการณ์ ต่างพากันยอมรับในความสามารถของนายกาฬกรรณี
พอเศรษฐีกลับมาก็บอกเรื่องนั้นให้ฟังทุกประการ
เศรษฐีได้ทีจึงพูดว่า
" เห็นไหม ถ้าเราไล่เพื่อนของเราตามคำของพวกท่าน
ทรัพย์สินของเราคงสูญสิ้นไปมิใช่น้อยในวันนี้
ธรรมดาชื่อไม่เป็นประมาณ จิตที่เกื้อกูลเท่านั้นเป็นประมาณ
"
แล้วให้ทุนทรัพย์แก่มิตรเพิ่มขึ้นอีก
ได้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า
"
บุคคลชื่อว่าเป็นมิตร ด้วยการเดินร่วมกัน
๗ ก้าว ชื่อว่าเป็นสหาย ด้วยการเดินร่วมกัน
๑๒
ก้าว และชื่อว่าเป็นญาติ ด้วยการอยู่ร่วมกันเดือนหนึ่งหรือครึ่งเดือน
ส่วนผู้ชื่อว่า
มีตนเสมอกัน
ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น เราจะละทิ้งมิตรชื่อว่ากาฬกัณณี
ผู้ชอบพอกันมานาน
เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร "
|