ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
ทรงปรารภพราหมณ์ชาวเมืองผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว
ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นมิจฉาทิฎฐิ
มีโภคทรัพย์มาก เรื่องมีอยู่ว่า...
วันหนึ่ง หนูได้กัดผ้านุ่งคู่หนึ่งของพราหมณ์
ที่เก็บไว้ในหีบ เขาคิดว่า
"
ความพินาศอย่างใหญ่หลวง จักมีแก่ครอบครัวของเราและผู้ที่นุ่งผ้าคู่นี้
"
จึงให้ลูกชายใช้ท่อนไม้คอนผ้าไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ
เช้าตรู่ของวันนั้น
พระพุทธองค์ได้ตรวจดูเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพราหมณ์พ่อลูกคู่นี้
จึงได้เสด็จไปเหมือนนายพรานตามรอยเนื้อ ได้ประทับยืนอยู่ที่ประตูป่าช้าผีดิบ
ทรงเปล่งพระพุทธรังษี ๖ ประการอยู่ ฝ่ายลูกชายของพราหมณ์
เดินคอนผ้าเข้าประตูป่าช้าผีดิบมา เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถาม
จึงเล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พระพุทธองค์จึงตรัสให้ทิ้งผ้านั้นเสีย
พอมานพนั้นทิ้งผ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงถือเอาผ้านั้นต่อหน้ามานพนั่นเอง
ทั้งๆที่ถูกมานพนั้นห้ามอยู่ว่า
"
อย่าจับ อย่าจับ ผ้านั้นเป็นอวมงคล "
ก็ทรงถือผ้านั้นเสด็จกลับวัดเวฬุวันไป
มานพรีบกลับไปบ้านบอกเรื่องนั้นแก่บิดา
พราหมณ์พอได้ฟังลูกชายเล่าเรื่องจบ ก็ตกใจด้วยเกรงว่า
"
ความพินาศจักมีแก่พระพุทธเจ้าและพระวิหาร
ผู้คนก็จะครหานินทาได้ เราต้องหาผ้าผืนใหม่ไปถวายแลกผ้าคู่นั้นนำกลับไปทิ้งเสีย
"
จึงชวนลูกชายและคนรับใช้นำผ้าใหม่ไปวัดเวฬุวัน
ขอถวายผ้าใหม่แลกกับผ้าคู่นั้นคืนมา
พระพุทธองค์ตรัสว่า
"
พราหมณ์ พวกเรามีนามว่าบรรพชิต ผ้าเก่าๆที่เขาทิ้งแล้วหรือตกอยู่ในที่เช่นนั้น
ย่อมควรแก่พวกเรา ท่านเองมิใช่แต่จะเพิ่งเป็นคนมีความเชื่ออย่างนี้ในบัดนี้เท่านั้น
แม้ในครั้งก่อนก็เคยมีความเชื่ออย่างนี้เหมือนกัน
"
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกแล้ว
ตรัสพระคาถาว่า
"
ผู้ใดถอนทิฏฐิเรื่องมงคล อุบาต ความฝันและลักษณะได้แล้ว
ผู้นั้น
ล่วงพ้น สิ่งอันเป็นมงคลและโทษทั้งปวง ครอบงำกิเลสเป็นคู่
ๆ 1
และโยคะทั้ง
๒ ประการได้แล้ว ไม่กลับมาเกิดอีก "
|