ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภภิกษุผู้มักหลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในเมืองพาราณสี มีชฎิลโกงผู้หนึ่งเป็นดาบสหลอกลวง
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภายใต้การอุปถัมภ์ของพ่อค้าคนหนึ่ง
เขาสร้างศาลาให้ดาบสและปรนนิบัติด้วยอาหารอันประณีต
ด้วยเชื่อว่าดาบสเป็นผู้ทรงศีล จึงนำทองคำร้อยแท่งไปฝังไว้ใกล้ๆ
ศาลาของดาบสนั้น เพื่อให้ดาบสช่วยดูแลรักษา
ดาบสพูดให้เขาเกิดความสบายใจว่า
" ขึ้นชื่อว่าความโลภในสิ่งของผู้อื่น
บรรพชิตไม่มีเลย "
เวลาผ่านไปสองสามวัน
ดาบสได้นำทองคำไปฝังไว้เสียที่แห่งอื่น แล้วย้อนกลับมา
ในวันรุ่งขึ้นฉันอาหารในบ้านของพ่อค้าแล้วกล่าวอำลาว่า
"
อาตมาอาศัยท่านอยู่นานแล้ว ความพัวพันกับกับพวกมนุษย์ย่อมมี
ธรรมดาการพัวพันเป็นมลทินของบรรพชิต เพราะฉะนั้น
อาตมาจะขอลาไป "
แม้พ่อค้าจะอ้อนวอนอย่างไร
ก็จะไม่อยู่ท่าเดียว เมื่อพ่อค้าบอกว่า
"
ไปเถิดพระคุณเจ้า "
ตามไปส่งจนถึงประตูบ้านแล้วกลับเข้าบ้านไป
ดาบสนั้น เดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็เดินกลับมา
พร้อมกับยื่นหญ้าเส้นหนึ่งให้แก่พ่อค้าพร้อมกล่าวว่า
"
มันติดชฎาของอาตมาไป จากชายคาเรือนของท่าน
ขึ้นชื่อว่า อทินนาทานไม่สมควรแก่บรรพชิต
"
พ่อค้ายิ่งเลื่อมใสเข้าใจว่า
"
ดาบสนี้ไม่ถือเอาสิ่งของผู้อื่น แม้เพียงเส้นหญ้า
โอ! พระคุณเจ้าช่างเคร่งคัดจริง ๆ "
ก็พอดีมีชายบัณฑิตคนหนึ่งไปชนบทเพื่อต้องการสิ่งของ
ได้พักแรมอยู่ในบ้านพ่อค้านั้นด้วย เห็นเหตุการณ์นั้นแล้วฉุกคิดว่า
"
ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ ที่ดาบสนี้ถือไป
"
จึงถามพ่อค้าว่า
"
ท่านได้ฝากอะไรไว้กับดาบสไหม ? "
พ่อค้าจึงเล่าเรื่องฝากให้ดาบสดูแลหลุมฝังทองคำ
๑๐๐ แท่ง เขาจึงบอกให้พ่อค้ารีบไปตรวจเช็คดูว่าหายหรือไม่
เมื่อพ่อค้าไปตรวจดูแล้วปรากฏว่าไม่เห็นทองคำ
จึงรีบกลับมาบอกชายบัณฑิตนั้น แล้วพากันรีบติดตามดาบสจับมาทุบบ้าง
เตะบ้าง ให้นำทองคำมาคืน เมื่อพบทองคำแล้ว
ชายผู้เป็นบัณฑิตจึงพูดว่า
"
ดาบสนี้ขโมยทองคำ ๑๐๐ แท่ง ยังไม่ข้องใจ กลับมาข้องใจในเรื่องเพียงเส้นหญ้า
"
แล้วกล่าวคาถาว่า
"
ถ้อยคำของท่านช่างไพเราะอ่อนหวานเสียนี่กระไร
ท่านรังเกียจกระทั่งหญ้าเส้นเดียว
แต่เมื่อขโมยทองคำไปตั้ง
๑๐๐ แท่ง กลับไม่รังเกียจเลยนะ "
|