ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า...
มีเศรษฐีชาวบ้านนอกคนหนึ่ง เป็นสหายผู้ไม่เคยเห็นกันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
วันหนึ่ง ได้บรรทุกสิ่งของมาขายเมืองสาวัตถี
ด้วยขบวนเกวียนสินค้า ๕๐๐ เล่ม มอบให้คนงานนำมาขาย
พร้อมฝากคำมาหาอนาถบิณฑิกเศรษฐีด้วย
ฝ่ายท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ทำการต้อนรับด้วยความยินดี
สั่งให้หาที่พักและเสบียงแก่คนเหล่านั้น ไต่ถามถึงความสุขของเศรษฐีผู้สหาย
รับซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งหมดแล้วส่งกลับบ้าน
พวกคนงานแจ้งเนื้อความนั้นแก่เศรษฐีเจ้านายของตน
ต่อมาอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ได้ส่งเกวียนบรรทุกสินค้าจำนวน ๕๐๐ เล่ม พร้อมนำเครื่องบรรณาการไปเยี่ยมเยือนเศรษฐีผู้สหายนั้น
ฝ่ายเศรษฐีนั้นรับเครื่องบรรณาการแล้ว บอกว่าไม่รู้จักอนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่จัดที่พักและเสบียงให้คนงานเหล่านั้นเลย
ไม่รับซื้อสินค้าอีกด้วย คนเหล่านั้นต้องขายสินค้ากันเองแล้วกลับคืนเมืองสาวัตถี
เล่าเรื่องนั้นแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟัง
อยู่ต่อมา
เศรษฐีนั้น ได้บรรทุกสินค้ามาขายที่เมืองสาวัตถีซ้ำอีก
นำบรรณาการมอบให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว พวกคนงานของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นพวกนั้นแล้ว
ขออาสาต้อนรับเอง ให้ปลดเกวียนไว้นอกเมือง
พอถึงเวลากลางคืนได้นำพวกเข้าปล้นสินค้าแย่งเอาแม้กระทั่งผ้านุ่ง
พวกบ้านนอกไม่เหลือแม้กระทั่งผ้านุ่งต่างกลัวตาย
พากันหนีไปสู่บ้านของตน
ฝ่ายคนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีพากันบอกเรื่องนั้นแก่เศรษฐี
ท่านเศรษฐีจึงนำความนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า
พระองค์จึงตรัสพระคาถาว่า
"
ผู้ใด ไม่รู้จักคุณความดีและประโยชน์ให้ที่ผู้อื่นกระทำไว้ก่อน
ผู้นั้น
เมื่อมีกิจการเกิดขึ้นภายหลัง ย่อมไม่ได้ผู้ช่วยเหลือ
"
|