ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน
เมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก
ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลผู้ดีเก่าชื่อสุตนะอาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี
เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วเขาก็ได้ออกรับจ้างหาเลี้ยงชีพเลี้ยงมารดา
ในสมัยนั้นพระราชาชอบล่าสัตว์วันหนึ่งพระองค์เสด็จเข้าป่าลึกไปพร้อมทหารและอำมาตย์หมู่ใหญ่ตกลงกันว่า
"ถ้าเนื้อวิ่งไปทางใคร คนนั้นจะถูกปรับ" วันนั้นมีละมั่งตัวหนึ่งวิ่งหนีไปทางพระราชา
พระองค์เห็นแล้วก็ง้างธนูยิงไปละมั่งหลบได้ แต่ทำทีล้มลงนอนตาย
พระราชานึกว่ามันตายแล้วจึงลงจากหลังม้าเดินไปดู ละมั่งรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไป
พระราชารีบควบม้าตามไป พร้อมมีเสียงหัวเราะเยาะของพวกอำมาตย์ตามหลังไป
พระราชาควบตามไปทันละมั่งแล้วฟันมันด้วยพระขรรค์ขาดเป็น
๒ ท่อน เพื่อระบายโทสะ ใช้ไม้เสียบคอนไว้ที่ท่อนหนึ่ง
ด้วยความเมื่อยล้าจึงเข้าไปเอนกายที่ใต้ต้นไทรต้นหนึ่ง
และม่อยหลับไป ที่ต้นไทรนั้นมียักษ์ตนหนึ่งอาศัยอยู่ มันตั้งกติกาไว้ว่าใครเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มไทรนี้จะถูกจับกิน
มันจึงจับพระหัตถ์ของพระราชาปลุกให้ลุกขึ้นพร้อมที่จะกิน
พระราชาเมื่อทราบว่ามันเป็นยักษ์ก็ขอไว้ชีวิตไว้ โดยมอบเนื้อละมั่งตัวนั้นให้ยักษ์กิน
และสัญญาว่าจะส่งชาวเมืองมาให้ยักษ์กินเป็นประจำทุกวัน
ยักษ์ตกลงตามนั้นพร้อมกับขู่ว่าถ้าหากวันใดไม่มีคนและอาหารมาให้กินจะจับพระราชากินเสีย
พระราชาเมื่อถูกยักษ์ปล่อยออกมาแล้ว
ก็รีบนำทหารและอำมาตย์เข้าเมืองปรึกษากันในเรื่องนี้ อำมาตย์จึงเสนอว่า
"ขอเดชะในเมืองเรา นักโทษก็มีอยู่มาก เบื้องแรกเราก็ให้นักโทษนำอาหารไปส่งยักษ์วันละคน
ก็พอที่จะหาทางแก้ไขได้ พระเจ้าข้า" เมื่อตกลงกันตามนั้นแล้วก็ได้จัดส่งนักโทษไปให้ยักษ์กินเป็นประจำทุกวันจนนักโทษหมดจากคุก
พระราชาทรงกลัวความตายจึงรีบปรึกษาอำมาตย์อีกว่า
จะทำอย่างไร อำมาตย์ได้ทูลเสนอว่า "ขอเดชะ เมื่อนักโทษหมดแล้วเช่นนี้
คนที่เห็นแก่เงินมีอยู่ดอกพระเจ้าข้า ขอเพียงพระองค์ตั้งค่าจ้างไว้สูง
ๆ ย่อมมีคนอาสานำอาหารไปให้ยักษ์แน่นอนพระยะค่ะ"
เมื่อตกลงกันตามนี้แล้ว ก็ให้ทหารป่าวประกาศไปทั่วเมืองปรากฏว่ามีคนมาสมัครเป็นจำนวนมาก
แต่พอรู้ว่าจะต้องไปตายก็ลดเหลือไม่กี่คน ในจำนวนมาก แต่พอรู้ว่าจะต้องไปตายก็ลดเหลือไม่กี่คน
ในจำนวนนั้นมีนายสุตนะด้วย
นายสุตนะคิดว่า
"ทุกวันเรารับจ้างทำงานได้เพียงบาทเดียวแต่นี้อาสานำอาหารไปให้ยักษ์ครั้งเดียวตั้ง
๑,๐๐๐ บาท" จึงไปบอกแม่ที่บ้าน แม่ห้ามไว้ก็ไม่ฟัง
เขาบอกแม่ว่า "แม่ครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมมีวิธีปราบยักษ์ไม่ยอมให้มันกินดอก
จะเอาชีวิตรอดกลับมาหาแม่ให้จงได้"
ในวันรุ่งขึ้น
เขาไปเข้าเฝ้าพระราชาทูลขอสิ่งของ ๔ อย่าง คือฉลองพระบาท
ฉัตร พระขรรค์ และถาดทองคำใส่อาหารของพระราชา พระราชาทรงแปลกพระทัยจึงตรัสถามถึงสาเหตุที่ต้องการสิ่งของ
๔ อย่างนี้
นายสุตนะ
จึงทูลให้ทราบว่า "ขอเดชะ ฉลองพระบาทของพระองค์จะช่วยชีวิตข้าพระองค์
เพราะยักษ์จะกินคนที่ยืนบนพื้นดินเท่านั้น ฉัตรของพระองค์ก็จะใช้กั้นเป็นร่ม
เพราะยักษ์จะกินคนที่อยู่ภายใต้ร่มไทรเท่านั้น พระขรรค์พระองค์ก็จะใช้เป็นอาวุธสำหรับขู่ยักษ์
ส่วนถาดทองคำก็จะดีกว่าถาดกระเบื้องพะยะค่ะ "พระราชาทรงเลื่อมใสในสติปัญญาของเขา
และรับสั่งให้มอบสิ่งของ ๔ อย่างนั้นแก่เขาไป
นายสุตนะให้ทหารนำสิ่งของ
๔ อย่างนั้นเดินตามหลังไปด้วย เมื่อถึงต้นไทรแล้วก็สวมฉลองพระบาททองคำ
ขัดพระขรรค์กั้นเศวตฉัตรบนหัว ถือถาดทองคำใส่อาหารไปวางไว้ใกล้ต้นไทรนั้น
แล้วใช้ปลายพระขรรค์ผักถาดเข้าไปภายใต้ร่มไม้นั้น ตนเองยืนอยู่ใต้เศวตฉัตรนอกร่มไทร
ยักษ์เห็นอาการอันแปลกประหลาดของเขาก็เดาใจออก คิดจะลวงเขากินเป็นอาหารจึงพูดว่า
"สหายหนุ่ม ขอเชิญท่านเข้ามารับทานอาหารร่วมกันภายใต้ร่มไทรนี้เถิด"
นายสุตนะตอบและขู่ยักษ์ว่า
"ท่านยักษ์ เรานำอาหารมาให้ท่านแล้ว เรามีแม่แก่ชราที่ต้องเลี้ยงดูอยู่คนหนึ่ง
ในเมืองก็หมดคนอาสานำอาหารมาให้ท่านแล้ว เหลือเราเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถ้าหากท่านกินเราเสียแล้ว ก็จะไม่มีใครนำอาหารมาให้ท่านอีกเลย
ท่านก็จะจับพระราชาไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ยืนบนพื้น และไม่ได้อยู่ใต้ร่มไทรของท่านด้วย
ถ้าท่านคิดจะต่อสู้กับเรา เราก็จะใช้พระขรรค์ฟันท่านเป็น
๒ ท่อน วันนี้เราเตรียมตัวมาดีแล้ว ท่านควรจะรักษาศีล
๕ เสียเถอะ"
ยักษ์เลื่อมใสในปัญญาของเขา
จึงพูดว่า "สุตนะ เรายอมท่านแล้วล่ะ ขอเชิญท่านกลับไปพบมารดาของท่านเถิด
และนับจากวันนี้เราจะเลิกกินมนุษย์ รักษาศีลเท่านั้น"
นายสุตนะให้ยักษ์รักษาศีล
๕ แล้วนำยักษ์เข้าเมืองไป ประจำอยู่ที่ประตูเมือง เพื่อจะได้ง่ายต่อการส่งอาหาร
พระราชาพอทราบว่านายสุตนะปราบยักษ์ได้แล้วก็ทรงปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง
พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่เขาพร้อมทรัพย์สมบัติมากมาย
|