ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ในเมืองพาราณสี
มีพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากคนหนึ่งประจำราชสำนัก
ถ้าเขาได้พูดแล้วคนอื่นจะไม่มีโอกาสได้พูดเลย
สร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมากแม้กระทั่งพระราชา
พระองค์จึงคิดหาวิธีสกัดคำพูดของปุโรหิตนั้น
วันหนึ่ง
พระองค์เสด็จไปพระอุทยานด้วยพระราชรถ ถึงต้นไทรทอดพระเห็นพวกเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงดูชายง่อยเปลี้ยผู้หนึ่ง
ดีดก้อนขวดซัดใส่ใบไม้เจาะรูเป็นรูปสัตว์ต่าง
ๆ อยู่ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรดู ทรงคิดได้วิธีสกัดคำพูดของปุโรหิต
รับสั่งให้ชายง่อยเปลี้ยเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า
"
ในราชสำนักของเรา มีคนพูดมากอยู่คนหนึ่ง เจ้า
สามารถทำให้เขาหยุดพูดได้ไหม ? "
เขากราบทูลว่า
"
ถ้าได้ขี้แพะถังหนึ่ง อาจทำให้เขาหยุดพูดได้
พระเจ้าค่ะ "
จึงรับสั่งให้นำชายง่อยเปลี้ยเข้าวังด้วย
ให้เขานั่งภายในม่านเจาะรูตรงข้ามกับที่นั่งของพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากนั้น
พร้อมให้วางขี้แพะแห้งไว้ใกล้ ๆชายง่อยเปลี้ยนั้น
พอได้เวลาพราหมณ์ปุโรหิตเข้าเฝ้า เขาก็เริ่มกราบทูลพูดโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น
เมื่อเขาอ้าปากพูดคำไหน บุรุษง่อยเปลี้ยก็ดีดขี้แพะที่ทำเป็นก้อนเล็กๆ
ผ่านม่านเข้าปากเขาทุกคำพูด พราหมณ์ปุโรหิตจึงได้กลืนกินขี้แพะโดยไม่รู้ตัว
พระราชาทรงทราบว่าขี้แพะหมดแล้ว จึงตรัสว่า
"
ท่านอาจารย์ ท่านกลืนกินขี้แพะไปตั้งถังหนึ่งแล้ว
ยังไม่รู้อีกหรือ ? ท่าน จงไปถ่ายท้องก่อนที่จะตายเสียเถิด
"
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พราหมณ์ปุโรหิตปิดปากสนิท แม้ใครจะพูดด้วย
ก็ไม่ค่อยจะพูด พระราชาทรงสบายพระทัยแล้วรับสั่งให้พระราชทานบ้าน
๔ หลัง อยู่ในทิศทั้ง ๔ ทิศ พร้อมทรัพย์สินแก่ชายง่อยเปลี้ยนั้น
ฝ่ายอำมาตย์
ได้เข้าเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า
"ธรรมดาศิลปะในโลก
บัณฑิตทั้งหลาย พึงเรียน แม้เพียงดีดก้อนกวด
ก็ยังช่วยให้ชายง่อยได้สมบัตินี้ " แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
"
ขึ้นชื่อว่าศิลปะ แม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็สามารถให้สำเร็จประโยชน์ได้โดยแท้
ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรบุรุษง่อย
ได้บ้านทั้ง ๔ ทิศ ก็ด้วยการดีดขี้แพะ "
|