ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสว่า
" ธรรมดามิตร จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มี
ผู้สามารถรักษามิตรไว้ได้เป็นสิ่งประเสริฐ
มิตรผู้เสมอกัน ต่ำกว่ากัน หรือสูงกว่ากันควรคบไว้
เพราะมิตรเหล่านั้น ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้ทั้งนั้น
" แล้วนำอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดาอยู่ที่กอหญ้าคาในพระราชอุทยาน
เป็นมิตรกับเทวราชผู้ศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง ผู้อาศัยที่ต้นไม้มงคลของพระราชาอยู่ในพระราชอุทยานนั้นด้วย
ครั้งนั้น พระราชาประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว
เสาของปราสาทนั้นสั่นไหวขึ้น พระองค์จึงรับสั่งให้พวกช่างไม้หาไม้แก่น
มาเปลี่ยนเสาปราสาทใหม่ พวกช่างไม้เสาะแสวงหาไม้แก่นในพระราชอุทยาน
ตกลงกันจะเอาต้นไม้มงคลนั้นทำเป็นเสาปราสาท
จึงกราบทูลพระราชา พระองค์จึงอนุญาตให้ตัดได้
วันนั้น พวกนายช่างได้ไปทำพลีกรรมต้นไม้มงคล
และกำหนดตัดในวันพรุ่งนี้
ฝ่ายเทวราช
พอทราบว่าต้นไม้ที่อยู่อาศัยจะถูกตัด ไม่เห็นที่จะไป
จึงกอดคอลูกน้อยร้องไห้อยู่ หมู่รุกขเทวดาทราบเรื่องแล้ว
ก็ไม่มีใครจะช่วยแก้ปัญหาได้ เทวดาพระโพธิสัตว์ทราบเรื่อง
จึงพูดปลอบเทวราชผู้สหายนั้นว่า "
พรุ่งนี้เราจะไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พวกเราคอยดูเราเถิด
"
ครั้นรุ่งขึ้น
พอพวกช่างไม้มาถึง ท่านก็แปลงตัวเป็นกิ่งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้ไป
มุดเข้าที่โคนต้นไม้มงคลไปโผล่ออกทางยอดไม้นอนผงกหัวอยู่
ทำประหนึ่งว่าต้นไม้นั้นเป็นโพรง
นายช่างไม้เห็นเช่นนั้นแล้ว
ก็เอามือตบต้นไม้นั้นแล้วตำหนิว่า "
ต้นไม้นี้ มีโพรง ไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจดูถ้วนถี่
หลงทำพลีกรรมกันเสียแล้ว " ก็พากันหนีกลับไป
เทวราชพอเห็นวิมานของตนไม่ถูกทำลาย
ก็ยกย่องพระโพธิสัตว์ ท่ามกลางหมู่รุกขเทวดา
ด้วยคาถาว่า
"
บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากันหรือเลวกว่ากัน
ก็ควรคบกันไว้
เพราะมิตรเหล่านั้น
เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้
เหมือนเราผู้เป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ต้นรุจา
กับเทวดาผู้สถิตที่กอหญ้าคาคบกัน "
|