ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภแม่ยายหูหนวกคนหนึ่ง
...
เรื่องมีอยู่ว่า
ในเมืองสาวัตถีมีพ่อค้าคนหนึ่ง มีศรัทธาเลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนา
ถือศีลห้าเป็นประจำ วันหนึ่งเขาไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน
ขณะนั้นแม่ยายได้ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา แต่แม่ยายคนนี้หูแกค่อนข้างตึง
เมื่อไปถึงบ้านพบแต่ลูกสาวอยู่บ้านไม่พบลูกเขยจึงเอ่ยปากถามลูกสาวว่า
"นี่ลูกผัวเอ็งนะยังรักเอ็งอยู่รึเปล่า
มีเรื่องทะเลาะกันบ้างไหม?"
ลูกสาวตอบว่า
"แม่..คนดีๆ อย่างลูกเขยแม่คนนี้นะ แม้บวชแล้วก็ยังหายาก"
ยายแกฟังคำพูดของลูกสาวไม่ชัดได้ยินแต่คำว่าบวชเท่านั้น
จึงร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจกว่า
"อ้าว..ผัวเอ็งไปบวชแล้วหรือ"
ชาวบ้านเรือนข้างเคียงกันได้ยินเช่นนั้นก็พากันพูดว่า
"พ่อค้าไปบวชเสียแล้ว" คนที่เดินผ่านไปมาจึงพูดคุยกันแต่เรื่องพ่อค้าออกบวชแล้วฝ่ายพ่อค้าเจ้าของเรื่องหลังจากฟังธรรมเสร็จก็เดินกลับบ้าน
ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งได้เดินตรงมาจับแขนเขาถามว่า
"ข่าวว่าท่านบวชแล้ว ลูกและเมียของท่านพากันร้องไห้อยู่ที่บ้านมิใช่หรือ"
พ่อค้าไม่พูดอะไรได้แต่คิดว่า เรายังไม่ได้บวชก็มีคนว่าเราบวชแล้ว
ข่าวดีเช่นนี้ไม่ควรให้หายไปไหน ตกลงเราควรจะบวชในวันนี้ละ
"จึงเดินกลับวัดเชตวันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระองค์ หลังจากอุปสมบทได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
เพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุ พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาสาธก
ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าในเมืองพาราณสีมีแม่ยายหูตึงเช่นกัน
วันหนึ่งเขาเดินทางไปนอกเมืองด้วยราชกรณียกิจอย่างหนึ่งได้เกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้ขึ้น
เมื่อเขากลับเข้าเมืองมาทราบข่าวนั้น จึงไปทูลลาพระราชาออกบวชด้วยการกล่าวเป็นคาถาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน
ในกาลใด บุคคลได้รับสมัญญาว่าผู้มีกัลยาธรรมในโลก
ในการนั้นนรชนผู้มีปัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลก
ในกาลนั้นนรชนผู้มีปัญญาไม่ควรให้ตนเสื่อมจากสมัญญานั้นเป็นธุระสำคัญแม้ด้วยหิริ
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน สมัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลกข้าพระองค์ได้รับแล้วในวันนี้
ข้าพระองค์พิจารณาเห็นสมัญญานั้นอยู่ จักขอบวชในวันนี้
เพราะข้าพเจ้าองค์ไม่มีความพอใจในการบริโภคกามคุณในโลกนี้"
เขาได้บวชเป็นฤาษีอยู่ป่าหิมพานต์จนตลอดชีพ
ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก
|