ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่งผู้ถูกภรรยาเก่าหัวเราะเยาะเย้ย
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชา ครองเมืองพาราณสี
ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระองค์มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อว่า
รุหกะ เขามีภรรยาชื่อว่าปุรณีพราหมณี พระราชาได้พระราชทานม้าตัวหนึ่งพร้อมเครื่องประดับแก่ท่านรุหกะปุโรหิตนั้นไปใช้เป็นพาหนะว่าราชการ
วันหนึ่งท่านรุหกะปุโรหิตขี่ม้าไปราชการ
ชาวบ้านที่พบเห็นได้พากันชมม้าของเขาว่า
"แม่เจ้าโว้ย
ม้าต้วนี้ช่างงามแท้" พอเขาได้กลับไปถึงบ้านพร้อมกับรอยยิ้มได้เรียกภรรยามาพูดอวดว่า
"นี่น้องม้าของพี่งามเหลือเกิน
ไครๆ เขาก็ชมกันทั้งนั้นนะ น้องว่าจริงไหมจ๊ะ"
ภรรยาของเขาค่อนข้างจะมีนิสัยเป็นนักเลงอยู่บ้างจึงพูดตอบแบบกวน
ๆ ว่า
"พี่..ม้าตัวนี้งามเพราะมันมีเครืองประดับหรอกจ๊ะ
พี่ก็ลองเดินซอยเท้าเหมือนม้าไปเข้าเฝ้าพระราชาดูบ้างซิ
พระองค์จะได้ทรงโปรดปราน ชาวบ้านก็จะพากันชื่นชมพี่ด้วยนะจ๊ะ"
ท่านรุหกะเป็นคนค่อนข้างบ้า
ๆ บอๆ อยู่บ้าง พอได้ฟังภรรยาพูดยุเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่านางพูดเย้ยหยัน
มุ่งแต่จะได้ความงามอย่างเดียวจึงลองทำตามทำพูดภรรยาดู
ชาวบ้านที่เห็นเขาก็พากันหัวเราะแล้วพูดเยาะเย้ยว่า
"ท่านอาจารย์งามแท้หนอ"
พระราชาเห็นท่านแล้วก็รับสั่งว่า
"อาจารย์..ท่านจิตใจไม่ปกติหรือ เป็นบ้าไปแล้ว
หรือถึงได้ทำเช่นนี้" ทำให้ท่านรุหกะได้สติและอับอายเป็นอย่างยิ่ง
ท่านโกรธภรรยามาก นึกไว้ในใจว่า
"คอยดูนะนางตัวแสบ
พอกลับถึงบ้านจะทุบตีมันสักป้าบสองป้าบแล้วค่อยไล่มันหนีไป"
ฝ่ายนางปุรณีพราหมณีทราบว่าสามีโกรธนางมากและกำลังกลับมาบ้าน
ก็แอบออกทางประตูหลังบ้านเข้าพระราชวัง
พระราชาทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว
จึงตรัสกับท่านรุหกะในวันหนึ่ง
"อาจารย์..ธรรมดาผู้หญิงก็มีความผิดได้เหมือนกัน
ควรยกโทษให้นางเสียเถิด ธรรมดาสายธนูที่ขาดแล้วยังต่อกันได้อีก
ท่านจงคืนดีกับภรรยาเสียเถิด อย่าได้โกรธไปเลย"
ท่านรุหกะปุโรหิตจึงทูลตอบเป็นคาถาว่า
"เมื่อสายป่านยังมีอยู่
นายช่างผู้กระทำสายธนูก็ยังมีอยู่ ข้าพระองค์จักกระทำสายธนูใหม่
พอกันทีสำหรับสายธนูเก่า"
เมื่อกราบทูลแล้วก็กลับไปบ้านไล่นางปุรณีพราหมณีหนีไปแล้วแต่งตั้งภรรยาคนใหม่มาทำหน้าที่แทน
|
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า |
|
|
|
เป็นสามีภรรยาต้องรู้จักยอมกันบ้าง
ยอมยกโทษให้กันและต้องเข้าใจกัน |
|
|
|