ในสมัยหนึ่ง
พระเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารถภิกษุรูปหนึ่ง ผู้กระสันอยากสึกเพราะเห็นหญิงงามคนหนึ่ง
ตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ..ธรรมดามาตุคาม
ใครๆ ก็รักษาไว้ไม่ได้ แม้เมื่อก่อนเขาวางยามประตูรักษาไว้
ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ เธอจะต้องการมาตุคามไปทำอะไร
แม้ได้แล้วก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้"
แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกแขกเต้าชื่อ ราธะ มีน้องตัวหนึ่งชื่อ
โปฏฐปาทะ อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง
ในเมืองพาราณสี พราหมณ์และนางพราหมณีไม่มีลูกด้วยกัน
จึงเลี้ยงดูนกแขกเต้าทั้งสองตัวเป็นเสมือนลูกชาย
พราหมณ์มีอาชีพค้าขายจะเดินทางออกจากบ้านไปค้าขายยังต่างแดน
เป็นเวลาหลายวันค่อยกลับมา ช่วงที่พราหมณ์ไม่อยู่บ้าน
นางพราหมณีมักจะคบชู้สู่ชายอยู่เป็นประจำ
วันหนึ่งก่อนออกเดินทางไปค้าขาย
พราหมณ์ซึ่งพอจะทราบพฤติกรรมของภรรยาอยู่บ้างแต่ยังจับไม่ได้
จึงสั่งนกแขกเต้าสองพี่น้องว่า
"ลูกรัก
พ่อจะไปค้าขาย เจ้าทั้งสองคอยดูแลแม่ของเจ้านะ
ว่าช่วงพ่อไม่อยู่นี้มีชายคนใดมาหาหรือไม่
ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน"
ว่าแล้วกก็ออกเดินทางไป
นับตั้งแต่วันที่พราหมณ์ออกจากบ้านไป นางพราหมณีก็คบชายชู้ไม่ซ้ำหน้ากันทั้งกลางวันกลางคืน
นกโปฏฐปาทะ เห็นดังนั้นจึงถามพี่ชายว่า
"แม่เราเป็นเช่นนี้
เราจะว่าแกดีไหมพี่"
นกราธะตอบว่า
"อย่าเลยน้องมันจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตเราเสียเปล่า
ๆ" แต่นกโกฎปาทะไม่เชื่อฟังคำพี่ชายได้พูดต่อว่านางพราหมณี
เป็นเหตุให้นางพราหมณีโกรธมาก จับมาบิดคอขาดตายแล้วโยนใส่เตาไฟเผาทิ้งไป
หลายวันต่อมา
พราหมณ์กลับมาถึงบ้านแล้วได้ถามนกราธะว่า
"ลูกรัก
พ่อเพิ่งกลับมาจากที่ค้างแรมเดี๋ยวนี้เอง
น้องเจ้าไปไหนเสียแล้วละ ในช่วงที่พ่อไม่อยู่บ้านนี้แม่ของเจ้าไม่ไปคบหาชายอื่นดอกหรือ
นกราธะตอบเป็นคาถาว่า
"ธรรมดาบัณฑิตไม่พูดคำที่เป็นจริงแต่ไม่ดี
ขืนพูดไปจะพึงหมกไหม้ เหมือนนกแขกเต้าชื่อโปฏฐปาทะ
หมกไหม้อยู่ในเตาไฟ"
กล่าวจบก็นิ่งเสียไม่เล่าอะไรให้พราหมณ์ฟัง
|
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า |
|
|
|
การพูดความจริงที่ไม่ดีในที่ไม่เหมาะสม
มักนำโทษมาให้แก่ผู้พูดมากกว่าผลดี |
|
|
|