ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภโกกาลิกภิกษุผู้ไม่อาจจะอยู่ร่วมกับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะได้
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง
และในที่ไม่ไกลกันนักมีรุกขเทวดาตนหนึ่งอาศัยอยู่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ในป่านั้นมีราชสีห์กับเสือ ๒ ตัวอาศัยอยู่
เพราะกลัวราชสีห์และเสือพวกชาวบ้านจึงไม่ไปทำนาใกล้ป่าและไม่คิดที่จะเข้าไปตัดต้นไม้ในป่านั้น
สัตว์ทั้งสองตัวเมื่อล่าเหยื่อได้แล้วก็จะฉีกกินเนื้อปล่อยให้เหลือแต่กระดูกทิ้งไว้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วป่า
วันหนึ่ง รุกขเทวดาตนนั้นได้แวะไปปรึกษากับรุกขเทวดาโพธิสัตว์ว่า
" เพื่อนรัก เพราะอาศัยราชสีห์และเสือสองตัวนี้
ป่าจึงมีกลิ่นเหม็นไม่สะอาด เราเสนอว่าให้ขับไล่สัตว์สองตัวนี้หนีไปที่อื่นเสีย
" พระโพธิสัตว์ห้ามว่า "
อย่าเลยท่าน เดี๋ยววิมานของท่านจะถูกทำลายนะ
" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"
เพราะการคบหามิตรใด ความปลอดภัยจะหมดไป บัณฑิตควรรักษาลาภยศและชีวิตของตน ที่มิตรนั้นเคยครอบครองมาก่อนเอาไว้
ประดุจบุคคลรักษาดวงตา เพราะการคบหามิตรใด
ความปลอดภัยเพิ่มพูนมากขึ้น บัณฑิตควรทำการช่วยเหลือในกิจทุกอย่างของมิตรนั้น
ให้เหมือนกับทำให้กับตนเอง "
เทวดาตนนั้นไม่เชื่อฟังได้แสดงรูปร่างน่ากลัวขับไล่ราชสีห์และเสือให้หนีไปอยู่ที่อื่น
ต่อมาไม่นานเมื่อชาวบ้านไม่เห็นรอยเท้าราชสีห์และเสือก็เข้าไปตัดต้นไม้ในป่านั้น
ถางป่าด้านหนึ่งเป็นที่นา และตัดต้นไม้วิมานของรุกขเทวดานั้นไปใช้ประโยชน์
สร้างความเดือดร้อนแก่รุกขเทวดาตนนั้นมาก
วันหนึ่ง
เทวดานั้นได้คร่ำครวญไปหาพระโพธิสัตว์และขอคำแนะนำ
พระโพธิสัตว์จึงแนะนำให้ไปอ้อนวอนราชสีห์และเสือให้กลับมาอยู่เหมือนเดิม
เทวดานั้นไปยืนประคองอัญชลีต่อหน้าสัตว์ทั้งสองอ้อนวอนว่า
" ท่านสัตว์ทั้งสอง
ขอเชิญท่านไปอยู่ป่าเช่นเดิมเถิด ป่าไม้ถูกมนุษย์ทำลายเกือบจะหมดแล้ว
"
แต่สัตว์ทั้งสองหาได้กลับไปไม่
มีแต่เทวดาตนนั้นเท่านั้นเดินกลับเข้าป่าไป
ไม่นานป่านั้นก็เป็นที่ทำกินของชาวบ้านไป
|