ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภภิกษุลูกศิษย์ของพระสารีบุตรผู้ถามถึงวิธีการได้ลาภสักการะด้วยการหลอกลวง
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์อยู่ประมาณ
๕๐๐ คน ตั้งสำนักเรียนอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง
วันหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้าไปถามถึงวิธีได้เงินทองว่า
" อาจารย์ครับ ผมเรียนใกล้จะจบแล้ว ผมอยากทราบว่าชาวโลกเขา
มีวิธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างไรครับ
" อาจารย์ตอบว่า " ฟังนะเธอ ชาวโลกเขามีวิธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเลย
อยู่ ๔ วิธี คือ
"ไม่ใช่คนบ้าทำเป็นเหมือนคนบ้า
ไม่ใช่คนพูดส่อเสียดทำเป็นเหมือนคนพูดส่อเสียด
ไม่ใช่นักฟ้อนรำทำเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ ไม่ใช่คนพูดพล่อยทำเป็นเหมือนคนพูดพล่อย
ย่อมได้เงินทองจากคนผู้หลงงมงาย นี่เป็นคำสอนสำหรับเธอ
"
" มันมีความหมายว่าอย่างไรครับ
อาจารย์ช่วยอธิบายให้ทราบด้วยครับ "
ลูกศิษย์ซักไซ้ต่อ
อาจารย์จึงอธิบายให้ฟังว่า
" คนบ้า ผู้คนมักจะไม่ถือโทษโกรธเคือง
เขาจะหยิบฉวยอะไรไปก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า
อาหาร ขนม หรือเงินทอง คนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะ
ไม่กลัวนรก มีความโกรธ ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมทำกรรมชั่วทุกอย่าง
ได้เช่นกันกับคนบ้า เขาจะแสวงหาเงินทองมาด้วยวิธีการแบบคนบ้า
คนพูดส่อเสียด
ย่อมสามารถพูดคำไม่เป็นจริงให้เป็นจริงได้
สามารถใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นให้เสียหายได้ ฉะนั้น
ผู้ต้องการเงินทองก็ต้องรู้จักพูดส่อเสียด
นักฟ้อนรำ
ย่อมไม่มีหิริโอตตัปปะ ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ทรัพย์มา
ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทองก็ต้องเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ
คนพูดพล่อย
ย่อมทำตัวเป็นคนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าใครทำอะไร
ที่ไหน อย่างไร ผู้คนกลัวคนผู้นี้จะประจานจึงมอบทรัพย์ให้เขาเพื่อปิดปาก
ทรัพย์จำนวนมากจึงเกิดขึ้นแก่เขา ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทอง
จึงต้องรู้จักเป็นคนพูดพล่อย "
ลูกศิษย์ได้ฟังแล้วจึงพูดตำหนิวิธีการหลอกลวงให้ได้ลาภมาโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมว่า
" อาจารย์ครับ ถ้าเป้นเช่นนี้การออกบวชจะประเสริฐกว่าการแสวงหาลาภโดยไม่มีคุณธรรมเลย
" ว่าแล้วจึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤาษี
บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าจนตราบเท่าชีวิต
|