ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์
ทรงปรารภความอกตัญญูของพระเทวทัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
มีราชสีห์ตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ในบริเวณเดียวกัน
วันหนึ่ง ราชสีห์กินเนื้อด้วยความมูมมามจึงทำให้กระดูกติดคอจนคอบวม
มันไม่สามารถจับเหยื่อหากินได้นอนปวดร้าวทรมานอยู่
หลายวันต่อมานกหัวขวานบินเที่ยวหากินไปพบมันเข้าจึงจับกิ่งไม้ร้องถามไปว่า
" ท่านราชสีห์
ท่านนอนร้องครวญครางอยู่ เป็นอะไรหรือ ? "
" กระดูกติดคอเรานะสิ
เรานอนเจ็บปวดทรมานมาหลายวันแล้ว ช่วยเราด้วย
" มันร้องตอบ
นกหัวขวานพูดว่า
" เราอยากจะช่วยท่านอยู่
แต่ไม่กล้าจะเข้าไปในปากท่าน กลัวท่านจะกินเรา"
ราชสีห์อ้อนวอนว่า "
ท่านอย่ากลัวไปเลย เราไม่กินท่านดอก ช่วยเราด้วยนะ"
นกหัวขวานใจอ่อนด้วยความกรุณาสงสารราชสีห์จึงรับคำช่วยเหลือ
ให้ราชสีห์นอนตะแคงแล้วใช้ท่อนไม้ค้ำปากของมันให้อ้าปากไว้
เพื่อไม่ให้มันหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปากราชสีห์
ใช้ปากจิกกระดูกให้เคลื่อนเข้าไปในท้องของมันแล้วจิกท่อนไม้ให้ล้มลง
บินขึ้นไปจับบนกิ่งไม้ตามเดิม ทำให้ราชสีห์หมดทุกข์เที่ยวจับเหยื่อกินได้เป็นปกติ
อีกหลายวันต่อมา
นกหัวขวานบินหากินไปพบราชสีห์กำลังนอนแทะเนื้ออยู่
คิดจะทดสอบจิตใจของราชสีห์ จึงจับบนกิ่งไม้เหนือราชสีห์นั้นแล้วพูดว่า
" ท่านจอมแห่งไพร
ขอแสดงความเคารพ เราเคยได้ช่วยเหลือท่านอย่างหนึ่ง
แล้วท่านจะมีอะไรตอบแทนกันบ้างหนอ"
ราชสีห์ตอบว่า
" เจ้านกหัวขวานเอ๋ย ในวันนั้น ขณะที่เจ้าอยู่ในปากของเรา
เจ้าเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้วละ
เจ้าจะเอาอะไรอีก "
นกหัวขวานได้ฟังเช่นนั้นแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"
ผู้ไม่รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้ว ผู้ที่ไม่เคยทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ใคร
ผู้ที่ไม่ตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำให้แล้ว
น่าตำหนิ
ความกตัญญูไม่มีในผู้ใด การคบหาผู้นั้น ก็ไร้ประโยชน์
.
แม้อุปการคุณที่กระทำต่อหน้า
มิตรธรรมยังหาไม่ได้ในบุคคลใด
บัณฑิตไม่ริษยา
ไม่ด่าบุคคลนั้น พึงค่อย ๆ หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย
"
กล่าวจบก็บินหนีเข้าป่าไป
|