ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภบิณฑบาตอันมีรสอร่อยที่พระสารีบุตรให้แก่พวกภิกษุผู้ดื่มยาถ่าย
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี
มีลูกชายเศรษฐีอีก ๓ คนเป็นเพื่อนรักกัน อยู่มาวันหนึ่ง
พวกเขาชวนกันไปนั่งสนทนากันเล่นที่หนทางสี่แพร่งนอกเมือง
ในขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งนั่งเกวียนบรรทุกเนื้อมาเต็มลำ
เพื่อจะนำไปขายในเมืองพาราณสี
ลูกชายเศรษฐีทั้ง
๔ คนเห็นเขากำลังมา จึงปรึกษากันว่าใครจะสามารถใช้วาทศิลป์ขอเนื้อจากนายพรานคนนั้นได้มากกว่ากัน
เมื่อนายพรานขับเกวียนเข้ามาใกล้แล้ว
ลูกชายเศรษฐีคนที่
๑ จึงร้องขอเนื้อขึ้นว่า "
เฮ้ย..นายพราน ขอเนื้อสักชิ้นหน่อยสิ "
นายพรานพูดว่า
" วาจาของท่านหยาบคายนัก
เป็นเช่นกับพังผืด เราจะให้เนื้อพังผืดแก่ท่าน
" แล้วให้เนื้อพังผืดแก่เขาไป
ลูกชายเศรษฐีคนที่
๒ ร้องขอเนื้อว่า "
พี่ชาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ "
นายพรานพูดว่า
" คำว่าพี่ชายนี้
เป็นส่วนประกอบของมนุษย์ที่เรียกขานกันในโลก
วาจาของท่านเป็นเช่นกับส่วนประกอบ เราจะให้เนื้อส่วนประกอบแก่ท่านนะ"
แล้วก็ยื่นเนื้อส่วนประกอบแก่เขาไป
ลูกชายเศรษฐีคนที่
๓ เอ่ยปากขอเนื้อว่า "
พ่อ ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ "
นายพรานพูดว่า
"
บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทำให้หัวใจพ่อหวั่นไหว
วาจาของท่านเป็นเช่นกับน้ำใจ เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่านนะ
" แล้วก็ยื่นเนื้อหัวใจให้เขาไป
พระโพธิสัตว์เอ่ยปากขอเนื้อเป็นคนที่
๔ ว่า " สหาย
ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ "
นายพรานพูดเป็นคาถาว่า
"
ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านนั้นเป็นเช่นกับป่า
คำพูดของท่านเช่นกับสมบัติทั้งหมด
สหาย
ข้าพเจ้าให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน "
ว่าแล้วก็ชวนพระโพธิสัตว์ขึ้นเกวียนไปที่บ้านของเขามอบเนื้อให้ทั้งหมด
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เชิญนายพรานพร้อมภรรยาและบุตรธิดามาอยู่ด้วยกันให้เลิกทำการล่าสัตว์
เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันเกื้อกูลกันจนตราบสิ้นชีวิต
|