ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมหาสุบิน
๑๖ ข้อของพระเจ้าโกศลมหาราช เรื่องมีอยู่ว่า
คืนวันหนึ่ง
พระเจ้าโกศลมหาราช ผู้ครองเมืองสาวัตถี ในเวลาใกล้รุ่งทรงพระสุบิน
๑๖ ประการ แล้วสะดุ้งตื่นจากบรรทมคิดหวาดกลัวว่าอันตรายอะไรจักเกิดมีแก่ตัวเรา
จึงรับสั่งให้ พราหมณ์ปุโรหิตหลวงเข้าเฝ้าแต่เช้าตรู่
พวกพราหมณ์โหรหลวงพอได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องพระสุบินจบ ก็พากันกราบทูลว่าจักมีอันตราย
๓ อย่างเกิดขึ้น คืออันตรายแก่ราชสมบัติ ๑ โรคภัยเบียดเบียน
๑ อันตรายแก่ชีวิต ๑ อย่างใดอย่างหนึ่ง พระองค์พอได้รับฟังยิ่งตระหนกพระทัย
จึงถามหาวิธีแก้ไข พวกโหรหลวงจึงทูลว่า "ขอเดชุ พอมีทางแก้ไขอยู่นั่นคือ
ต้องบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิต ๔ อย่าง พระเจ้าค่ะ"
พระราชรับสั่งให้รับกระทำตามนั้น
พวกโหรหลวงรีบพากันไปทำหลุมบูชายัญที่นอกเมือง จับฝูงสัตว์
๔ เท้ามัดไว้ที่หลักยัญกำลังรวมฝูงนกสั่งทหารให้นำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาอยู่
ลำดับนั้นพระนางมัลลิกาเทวีทรงทราบเรื่อง จึงรีบเข้าเฝ้า
พระราชทานทูลถามถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เมื่อทราบสาเหตุแล้ว
จึงทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ได้ทูลถามยอดพราหมณ์ในโลกและเทวโลกแล้วหรือเพคะ"
ทรงรับสั่งว่า "ใครกันเล่า" พระนางจึงทูลว่า
"พระองค์ไม่ทรงรู้จักมหาพราหมณ์โคดมผู้ตถาคต ผู้สัพพัญญูดอกหรือเพคะ"
จึงได้สติเสด็จไปวัดเชตวันทันที
พระพุทธองค์เมื่อทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
จึงพยากรณ์พระสุบินเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อที่
๑ ที่พระสุบินเห็นวัวผู้มีสีเหลืองดอกอัญชัญ ๔ ตัว วิ่งมาคนละทิศ
จะชนกันที่ท้องพระลานหลวง เมื่อมหาชนชุมนุมกันดูแล้วกลับไม่ชนกัน
ถอยวิ่งกลับไป นั้นคือ เหตุจักไม่มีในรัชกาลของพระองค์และจักไม่มีในศาสนาของพระตถาคต
ในอนาคตเมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม
เหล่าประชาราษฎร์ไม่ตั้งอยู่ในธรรม กุศลกรรมลดน้อยถอยลง
อกุศลกรรมหนาแน่นขึ้น เมื่อนั้นโลกจักเกิดฝนแล้ว ทุพภิกขภัยเมฆฝนตั้งเค้าขึ้นทิศทั้ง
๔ ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบเหมือนฝนจะตกพอชาวบ้านเก็บสิ่งของหนีฝนแล้วเท่านั้น
ก็ไม่ตกลอยหายไป
ข้อที่
๒ ที่พระสุบินเห็นต้นไม้เล็ก ๆ และกอไผ่ พอแตกหน่อได้คืบหนึ่งบ้าง
ศอกหนึ่งบ้าง แล้วก็ผลิตดอกออกผลเสียแล้ว นั้นคือ
ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์มีอายุน้อยลงมีราคะกล้า
เด็กหญิงจักมีสามีตั้งแต่เด็ก ตั้งครรภ์ มีบุตรธิดาตั้งแต่อายุยังน้อย
ข้อที่
๓ ที่พระสุบินเห็นแม่วัวพากันดูดกินนมลูกวัวที่เพิ่งเกิดในวันนั้น
นั้นคือในอนาคต เมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
มนุษย์จะพากันละทิ้งความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ (เชษฐาปจายิกธรรม)ลูกไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่
ปู่ ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่หมดที่พึ่งอาศัยต้องง้อเด็ก
ๆ เลี้ยงชีพ
ข้อที่
๔ ที่พระสุบินเห็นฝูงชนไม่เทียมแอกวัวใหญ่ที่เป็นงานกลับไปเทียมวัวหนุ่มที่ไม่เป็นงาน
ต่างสลัดแอกทิ้งยืนเฉยอยู่ลากเวียนไปไม่ได้ นั้นคือ
ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม บัณทิตผู้มีศีลธรรมจักไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตัดสินคดี
(ศาล) ข้าราชการและปกครองบ้านเมือง ผู้ไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นใหญ่บริหารบ้านเมือง
จักละทิ้งงาน ความเสื่อมจักมีแก่ประเทศชาติ
ข้อที่๕
ที่พระสุบินเห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองปาก ฝูงชนพากันให้หญ้าที่ปากสองข้างของมัน
นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
คนไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ก็จักรับสินบนจากมือคู่คดีทั้งสองฝ่ายมากิน
ข้อที่
๖ ที่พระสุบินเห็นมหาชนขัดถูถาดทองราคาแพงแล้วนำไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่งปัสสวะใส่ถาดทอง
นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ตั้งผู้มีศีลธรรมบริหารประเทศ
กลับตั้งผู้คนไม่มีสกุลแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลใหญ่จักตกยาก
ตระกูลเลว ๆ จักพากันเป็นใหญ่ เพื่อความอยู่รอดตระกูลใหญ่พากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุลนั้น
ข้อที่
๗ ที่พระสุบินเห็นชายคนหนึ่งนั้งฟั้นเชือกหย่อนลงไปใกล้เท้า
มีแม่หมาจิ้งจอกอดโซตัวหนึ่ง นอนกัดกินเชือกนั้นอยู่ใต้ตั่งที่ชายคนนั้นนั่งอยู่
โดยที่เขาไม่รู้เลย นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละในชาย ดื่มสุรา เอาแต่แต่งตัว
ชอบเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ ไม่มีศีลธรรม จักพากันนำทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างยากลำบากไปซื้อสุรา
คบชู้สู่ชาย ซื้อเครื่องประดับ และเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้
แม้จะไม่มีข้าวกินก็ตาม
ข้อที่
๘ ที่พระสุบินเห็นตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ประตูวัน
มีตุ่มเปล่าตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ ผู้คนนำน้ำมาจากทิศทั้ง
๔ เทใส่ตุ่มที่เต็มแล้วนั้นล้นแล้วล้นอีก ไม่มีใครสนใจตุ่มที่ว่างเลย
นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ทุศีลจักปกครองบ้านเมือง เมื่อเกิดทุพภิกขภัย จักเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันนำทรัพย์เพาะปลูกเพื่อผู้ปกครองอย่างเดียว
จนชาวบ้านจะไม่มีอยู่มีกิน สร้างความเดือดร้อนให้
ข้อที่
๙ ที่พระสุบินเห็นสระน้ำสระหนึ่งมีดอกบัว ๕ สี น้ำลึก
มีท่าขึ้นรอบด้าน ฝูงสัตว์สองเท้าสี่เท้าพากันลงดื่มกินน้ำในสระโดยรอบ
น้ำอยู่กลางสระขุ่นมัว แต่น้ำที่อยู่ตรงเท้าสัตว์เหยียบย่ำ
กลับใสสะอาด นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เห็นแก่สินบน ขูดรีดภาษีชาวบ้าน
สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน พวกชาวบ้านไม่สามารถจะให้อะไรได้จึงพากันหนีอพยพไปอยู่ชายแดนเสียส่วนมากศูนย์กลางเมืองจักว่างเปล่า
ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดี
ข้อที่
๑๐ ที่พระสุบินเห็นข้าวสุกที่หุงในหม้อเดียวกัน แต่สุกไม่เท่ากัน
มีแฉะ ดิบ และสุกพอดี คือ อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ชาวโลกไม่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม ฝนจักไม่ตกอย่างทั่วถึงแม้กระทั่งในสระลูกเดียวกัน
ข้าวกล้าที่หว่านในนาไร่เดียวกัน ก็จะมีผลเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน
มีตายแล้ง น้ำท่วม และได้เก็บเกี่ยวพอดี
ข้อที่
๑๑ ที่พระสุบินเห็นผู้คนเอาแก่นจันทร์ที่มีราคาแพงขายแลกกับเปรียงเน่า
(นมส้ม) นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
พวกนักบวชรวมทั้งภิกษุจักแสดงธรรมเพื่อปัจจัยและอามิสบูชา
มิได้แสดงธรรมเพื่อพระนิพพาน นำเอาพระธรรมที่มีค่าควรแก่พระนิพพานไปแลกกับปัจจัย
๔ หรือเงินตราเท่านั้น
ข้อที่
๑๒ ที่พระสุบินเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ นั้นคือในอนาคนเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม คำพูดของผู้ทุศีลจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนัก
ผู้คนจะเชื่อถือแม้แต่ในที่ประชุมสงฆ์ ผู้ทุศีลจะเป็นผู้ชนะอธิกรณ์
ทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกได้
ข้อที่
๑๓ ที่พระสุบินเห็นก้อนหินแท่งทึบใหญ่ขนาดเท่าเรือนลอยน้ำได้
นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมแล้วคำพูดของผู้ทุศีลจะมีค่ามีน้ำหนัก
พูดในสิ่งผิดให้ถูกได้ พูดสิ่งที่ถูกให้กลับผิดได้
ข้อที่
๑๔ ที่พระสุบินเห็นฝูงเขียดตัวเล็ก ๆ วิ่งไล่ทำร้ายงูเห่าตัวใหญ่
นั่นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
มนุษย์จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสราคะ บุรุษเพศจักตกอยู่ภายใต้อำนาจของสตรีเพศ
สามีจักอยู่ในอำนาจของภรรยา ภรรยาจะกดสามีไว้ดังทาสและคนรับใช้
ข้อที่
๑๕ ที่พระสุบินเห็นฝูงพญาหงส์ทองแวดล้อมกาเที่ยวหากินตามบ้าน
นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมผู้ปกครองบ้านเมืองจักไม่ฉลาดในศิลปะและเก่งกล้าในการรบ
จักมอบความเป็นใหญ่ให้ผู้ที่ใกล้ชิด เช่นช่างตัดผม เป็นต้น
ไม่เหลียวแลสกุลสูง ๆ สกุลเหล่านั้นจะหันไปคบค้าสมาคมกับพวกช่างตัดผมเหล่านั้นเหมือนหงส์ทองแวดล้อมกา
ข้อที่
๑๖ ที่พระสุบินเห็นผูงแกะพากันไล่กัดกินฝูงเสือเหลือง
เสืออื่น ๆ มีเสือดาว เสือโคร่งเห็นเช่นนั้น ต่างวิ่งจาละหวั่นหลบเข้าไปพุ่มไม้และป่ารกไป
นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม ไม่คบค้าสมาคมกับผู้มีสกุลสูง
เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจ ผู้มีสกุลสูงจะพากันยินยอมให้ที่ของตนแล้วหลบหนีเข้าบ้านนอนผวาไปตาม
ๆ กัน พวกภิกษุผู้ทุศีลจะเบียดเนียนภิกษุผู้มีศีล ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่มีที่พักก็จะเข้าป่าไป
เมื่อพยากรณ์พระสุบินให้พระเจ้าโกศลมหาราชทราบถึงความไม่มีอันตรายใด
ๆ แล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสอดีตนิทานมาสาธกทำนองเดียวกัน
และตรัสให้ยกเลิกการบูชายัญพระราชทานชีวิตแก่สรรพสัตว์ทุกตัวเสีย
พระราชาได้รับสั่งให้กระทำตามนั้น
|