ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีปรารภพ่อค้าผู้เศร้าโศกเสียใจกับการตายของบิดาอย่างไม่สร่างซาคนหนึ่ง
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพ่อค้าเมืองพาราณสี มีชื่อว่า
สุชาตกุมาร เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม ปู่ของเขาก็ได้เสียชีวิตลง
หลังจากปู่เสียชีวิตแล้ว บิดาของเขาอยู่ในอาการเศร้าโศกตลอดมา
ไม่มีจิตใจทำการค้าขายเลย เมื่อเผาร่างปู่เสร็จแล้วก็นำกระดูกมาบลรรจุสถูปดินไว้ในสวนหลังบ้าน
เที่ยวไปไหว้กระดูกนั้นแล้วเดินวนเวียนนั่งร้องไห้อยู่
ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าวไม่ทำการค้าขาย เป็นประจำทุกวัน
สุชาตกุมารเห็นบิดาตกอยู่ในอาการเช่นนั้นจึงคิดหาวิธีเตือนสติ
วันหนึ่งเขาเดินไปนอกบ้านเห็นวัวตายตัวหนึ่ง จึงนำหญ้าและน้ำมาวางไว้ข้างหน้ามัน
แล้วพูดว่า "จงกิน จงดื่ม" ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นเขาก็ถามว่า
"ท่านทำอะไร เป็นบ้าเหรอ ป้อนอาหารให้วัวตาย"
สุชาตกุมารก็ไม่พูดตอบโต้อะไรยังคงนั่งพูดอยู่อย่างนั้น
ชาวบ้านจึงเดินไปบ้านบอกบิดาของเขาให้ทราบว่า
สุชาตกถมารเป็นบ้าแล้ว นั่งป้อนอาหารวัวที่ตายแล้ว บิดาของเขาพอทราบเรื่องก็รีบไปดูด้วยความเป็นห่วงลูกชาย
ลืมการตายของบิดาไปชั่วขณะ เมื่อไปถึงที่ลูกชายนั่งอยู่จึงถามว่า
"ลูก เป็นคนฉลาดมิใช่หรือ ทำไมจึงป้อนหญ้าป้อนน้ำให้วัวตายเล่า
ไม่มีวันที่มันจะฟื้นคืนมาได้ดอก อย่ามานั่งบ่นเพ้อเหมือนคนไร้ความคิดเลย"
สุชาตกุมารจึงตอบว่า "พ่อ..
วัวตัวนี้ร่างกายมันอยู่ครบบริบูรณ์ดี ผมเข้าใจว่า มันต้องลุกขึ้นมากินได้
ส่วนปู่ของเราไม่มีร่างกาย แล้วพ่อยังไปนั่งร้องไห้คร่ำครวญหาอยู่ท้ายสวนเป็นประจำ
พ่อมิใช่เป็นคนไร้ความคิดกว่าเหรอ
บิดาจึงได้สติคืนมา กล่าวยกย่องชมเชยสุชาตกุมารแล้วกล่าเป็นคาถาว่า
"คนผู้มีปัญญา
มีใจอนุเคราะห์ ย่อมทำบุคคลให้หลุดพ้นจากความเศร้าโศกได้
เหมือนกับสุชาตบุตรของเราทำเราผู้บิดาให้หลุดพ้นความโศก
ฉะนั้น"
|