ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน
เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระอานนทเถระ ผู้ได้รับการถวายผ้านุ่งจำนวน
๕๐๐ ผืนจากพระเทวี เป็นเหตุให้พระเจ้าโกศลเข้าใจผิดคิดว่าพระเถระจะค้าขายผ้า
เมื่อเข้าใจแล้วกลับยิ่งศรัทธาถวายผ้านุ่งอีก ๕๐๐ ผืน
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งกับตัวเมียอีกตัวหนึ่ง
วันหนึ่ง ราชสีห์นั้นออกหากินได้ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขามองดูสัตว์น้อยใหญ่ที่มาหากินอยู่ข้างสระใหญ่ข้างล่าง
ในสระนั้นมีดินดอนที่เกิดจากเปลือกตมอยู่ดอนหนึ่ง พอเปลือกตมแห้งก็มีหญ้าอ่อนเกิดขึ้น
มักจะเป็นที่หากินของกระต่าย เนื้อ แมวและสุนัขจิ้งจอกเสมอ
ในวันนั้นมีเนื้อตัวหนึ่งกำลังยืนแทะเล็มหญ้าอ่อนอยู่ที่ดอนนั้น
ราชสีห์เห็นเนื้อนั้นแล้วก็หมายใจไว้ว่าจะจับกินเป็นอาหารในวันนี้
จึงกระโดดลงจากเขาวิ่งไปด้วยความเร็ว แต่เนื้อได้ยินเสียงเสียก่อนจึงวิ่งหนีไปได้หวุดหวิด
ราชสีห์วิ่งมาด้วยความเร็ว ตกลงไปในบ่อโคลนตม ไม่สามารถขยับเขยื้อนขึ้นมาได้
ยืนอดอาหารอยู่อย่างนั้นถึง ๗ วัน
ในวันที่ ๗ ได้มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเที่ยวหากินมาถึงที่นั้น
พอเห็นราชสีห์เข้าก็ตกใจกลัวจะวิ่งหนีไป ราชสีห์จึงร้องเรียกมันให้ช่วยเหลือว่า
"สุนัขจิ้งจอกพ่อมหาจำเริญ..ท่านอย่ากลัวไปเลยเราติดหล่ม
ช่วยเราด้วย"
สุนัขจิ้งจอกนั้นจึงพูดว่า
"ท่านราชสีห์ถ้าข้าพเจ้าช่วยเหลือท่านขึ้นมาแล้ว
เกรงว่าท่านจะกินข้าพเจ้าเสียนะสิ"
ราชสีห์พูดว่า
"อย่ากลัวไปเลย
เราไม่กินท่านดอก มีแต่จะตอบแทนบุญคุณท่านนั้นแหละ จงหาวิธีช่วยเราขึ้นไปที"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังราชสีห์พูดเช่นนั้นจึงตกลงใจเข้าไปช่วยเหลือด้วยการตะกุยเลนรอบเท้าทั้ง
๔ ทำเป็นรางให้น้ำไหลเข้าไป พอน้ำไหล เข้าไปทำให้เลนอ่อน
มันจึงเข้าไปดุนท้องราชสีห์พร้อมพูดกระตุ้นว่า
"พยายามเข้าท่าน"
ราชสีห์จึงกระโดดขึ้นจากหล่มได้
พักอยู่ครู่หนึ่งแล้วลงไปอาบน้ำในสระนั้น
ขึ้นมาล่าควายป่าได้ตัวหนึ่งได้มอบเนื้อส่วนหนึ่งให้สุนัขจิ้งจอก
พร้อมกับพูดว่า
"กินเสียเถิด
สหาย" ให้สุนัขจิ้งจอกกินอิ่มแล้ว ตัวเองจึงกินทีหลัง
ลำดับนั้น สุนัขจิ้งจอกได้กัดเนื้อก้อนหนึ่งคาบไว้
เมื่อราชสีห์ถามว่าท่านจะทำอะไร
มันจึงพูดว่า
"ข้าพเจ้ามีภรรยาอยู่ตัวหนึ่งนอนรออาหารอยุ่ที่ถ้ำ"
ราชสีห์จึงพูดว่า
"ถ้าเช่นนั้น พวกเราไปกันเถิด"
แม้ตัวเองก็คาบเนื้อชิ้นหนึ่งไปเพื่อนางราชสีห์เช่นกัน
พาสุนัขจิ้งจอกไปที่ถ้ำแล้วชักชวนให้มาอยู่ที่ถ้ำใกล้ชิดกัน
ตั้งแต่นั้นมาราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกก็ได้ออกหาอาหารด้วยกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไป นางราชสีห์และนางสุนัขจิ้งจอกได้ลูกคนละ
๒ ตัว สัตว์ทั้งหมดอยู่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี ต่อมาวันหนึ่งนางราชสีห์เฉลียวใจว่า
"ทำไมหนอ ราชสีห์สามีเราถึงได้รักนางสุนัขจิ้งจอกและลูกมันเหลือเกิน
หรือจะมีการชมเชยกันเสียแล้วละ เราจะขับไล่นางสุนัขจิ้งจอกและ
ลูกของมันให้หนีไปเสีย" พอถึงเวลาที่ราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกออกหากิน
นางจึงได้ไปขับไล่นางสุนัขจิ้งจอกให้หนีไปอยู่ที่อื่น
ฝ่ายนางสุนัขจิ้งจอกพอสามีกลับมาแล้วก็เล่าเรื่องนั้นให้ฟังและชวนกันกลับไปอยู่ถ้ำของตนตามเดิม
สุนัขจิ้งจอกจึงเข้าไปหาราชสีห์
พูดว่า "นาย..ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็นานแล้ว ธรรมดาผู้ที่อยู่นานๆ
นักย่อมไม่เป็นที่พอใจของเจ้าของบ้าน นางราชสีห์ภรรยาท่านคุกคามลูกและภรรยาของข้าพเจ้าแล้ว
ขอท่านพึงทราบด้วย พวกข้าพเจ้าขอลาไปละ"
ราชสีห์ได้ฟังคำของสุนัขจิ้งจอกแล้วจึงได้เล่าเรื่องสุนัขจิ้งจอกเป้นผู้มีบุญคุณ
ช่วยเหลือชีวิตตนขึ้นจากโคลนตมให้นางราชสีห์ฟังพร้อมทั้งกล่าวเป็นคาถาว่า
"ถึงแม้ว่ามิตรจะมีกำลังด้อยกว่า
แต่ตั้งอยู่ในมิตรธรรม เขาชื่อว่าเป็นญาติ เป็นเผ่าพันธุ์
เป็นมิตรและเป็นเพื่อนของเรา นี่นางผู้มีเขี้ยวแหลมคม
เจ้าอย่าได้ดูหมิ่นสุนัขจิ้งจอกผู้ให้ชีวิตแก่เราอีกเลย"
นางราชสีห์ฟังคำนั้นแล้วจึงขอโทษสุนัขจิ้งจอก
แต่นั้นมาสัตว์ทั้งหมดก็อยู่อย่างกลมเกลียวกันเหมือนเดิมเป็นมิตรกันตลอด
๗ ชั่วตระกูล
|