ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการทะเลาะกันของอำมาตย์
๒ คน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรสมาบัติอยู่ป่าหิมพานต์
มีพังพอนตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในจอมปลวกที่จงกรมของฤาษีนั้น
และมีงูตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่งใกล้จอมปลวกนั้น
งูและพังพอนไม่ถูกกันเป็นคู่อริกันตลอดกาล
ฤาษีเห็นสัตว์ทั้งสองทะเลาะกัน
จึงกล่าวถึงโทษของการทะเลาะกันและอานิสงส์ในการเจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งสอง
จนทำให้งูและพังพอนเลิกทะเลาะกันกลับมาเป็นมิตรกันในที่สุด
ถึงกระนั้นพังพอนก็ไม่ไว้ใจงู เวลางูออกไปข้างนอกพังพอนก็จะนอนอ้าปากหันหัวออกนอกโพรง
แม้หลับก็ยังนอนอ้าปากอยู่
ฤาษีเห็นพฤติกรรมเช่นนั้นของมันจึงถามมันว่า
"พังพอน..เจ้าได้ทำมิตรภาพกับงูผู้เป็นศัตรูแล้วมิใช่หรือ
เหตุไฉนจึงนอนแยกเขี้ยวอยู่อีกเล่า ภัยที่ไหนจะมาถึงตัวเจ้าอีกละ"
พังพอนตอบว่า "พระคุณเจ้า
เราไม่ควรดูหมิ่นศัตรู ควรระแวงไว้เสมอ"
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"บุคคลพึงระแวงภัยในศัตรูไว้ก่อน แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้วางใจ
ภัยที่เกิดขึ้นจากมิตรย่อมกัดกร่อนจนถึงโคนราก"
ฤาษีจึงกล่าวสอนพูดให้พังพอนเลิกระแวงว่า "เจ้าอย่ากลัวไปเลย
เราได้ทำให้งูไม่ทำร้ายเจ้าแล้ว เจ้าเลิกระแวงได้แล้วละ"
งูและพังพอนนั้นก็เป็นอยู่อย่างสันติจนตราบสิ้นชีวิต
|