จะเรียกว่าเป็น "พระโพธิสัตว์" ได้หรือยัง ?

     

อยากทราบจากท่านผู้รู้ว่า

1. ผู้ที่ผ่านพุทธพยากรณ์ (ในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัลป์ต่างๆ) เพื่อที่จะไปเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ในอนาคต จะต้องมีสักกี่ครั้ง ? จึงจะสมบูรณ์
2. ถ้าผ่านการพยากรณ์มาแล้ว 2 ครั้ง จะเรียกว่าเป็น "พระโพธิสัตว์" ได้หรือยัง หรือ ยังเรียกว่า "ผู้ปราถนาพุทธภูมิ" เฉยๆ
3. จากเดิมที่ท่านผู้นั้นอยู่ในเส้นทางวิริยะธิกะ จะเปลี่ยนเป็นปัญญาธิกะได้หรือไม่ ? โดยทั้งนี้.........
3.1 ขึ้นอยู่ที่การอธิษฐานจิตในครั้งแรกหรือไม่ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หากผ่านข้อที่ 2 มาแล้วข้างต้น ? มิฉะนั้นจะเสียเวลา ?
3.2 ขึ้นกับระดับสติปัญญาของท่านผู้นั้นเองต่างหาก เนยยพระโพธิสัตว์ ? ถูกหรือไม่ ?
4. ผู้ที่ทำไม่ดี (ทั้งกาย วาจา ใจ) ต่อผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะพระโพธิสัตว์เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะระดับใด (ถ้าไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อน) จะได้รับผลกรรมหรือไม่ หนักเบาอย่างไร
5. มารจะเริ่มผจญตั้งแต่การผ่านการพยากรณ์ตั้งแต่ครั้งที่เท่าใด ? หรือว่ามีมาโดยตลอด

ขอบพระคุณล่วงหน้า




จะเรียกว่าเป็น "พระโพธิสัตว์" ได้หรือยัง ?

ตอบข้อถามที่ถามมาเป็นข้อๆ ตามเลขหน้าหัวข้อง ดังต่อไปนี้....

1.ผู้ที่ถูกพยากรณ์แล้ว แม้เพียงครั้งเดียว ก็จะเป็นไปตามคำพยากรณ์นั้น

2.คำตอบอยู่ที่ข้อหนึ่งแล้ว และความปราถนาพุทธภูมิ ไม่ทำให้เป็นพระโพธิสัตว์ได้

3.ไม่ได้
3.1 อธิฐานไม่ช่วยให้เป็นพระโพธิสัตว์ได้
3.2 ปัญญาจะมีมากตามอายุวิญญาณที่มากของพระองค์เอง ไม่เกี่ยวกับการปราถนา

4.ได้รับ หนักเบาไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความใหญ่ของจิต และอายุวิญญาณของแต่ละพระองค์

5.ตั้งแต่วิญญาณธาตุก่อตั้ง มารจะผจญโดยตลอด จนตัวมาเองเข้าพระนิพพานก่อนหลายพระองค์ เพราะอายุวิญญาณของมาแค่สองอสงไขย (พระปัจเจกพุทธเจ้า) น้อยกว่าพระโพธิสัตวเจ้า ตามประเภทวิญญาณ


สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณมาก


ขอถาม คุณ 123 ต่อนะครับ

1. ช่วยขยายความในข้อ 5 ด้วย ความหมายคือ การจะไปเป็นพระโพธิสัตว์ (ของแต่ละพระองค์) ได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วิญญานธาตุอุบัติหรือครับ ?
2. พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์จะมีแสง aura มากกว่าคนปกติใช่หรือไม่ ?

ขอบคุณมาก


ขอถาม คุณ 123 ต่อนะครับ

1. ช่วยขยายความในข้อ 5 ด้วย ความหมายคือ การจะไปเป็นพระโพธิสัตว์ (ของแต่ละพระองค์) ได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วิญญานธาตุอุบัติหรือครับ ?

ตอบ...1.ลองเอาส่วนหนึ่งของนิยายผมไปอ่านดูนะ นี่คือคำตอบข้อหนึ่ง คือธรรมชาติเป็นผู้สร้างพระโพธิสัตว์เจ้าขึ้นมา...ดังนี้

“ก็ได้ ข้าฯ จะบอกเอ็งดังที่ได้ยินมา จิตเกิดจาก ธรรมชาติของกฎไตรลักษณ์ คือ ความไม่แน่นอน ความทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ความเข้าไปบังคับบัญชาไม่ได้ กฎนี้แล เป็นผู้สร้างจิตวิญญาณขึ้นมา และจะสร้างต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด นังหนู อะๆ ๆ ๆ”
“มีแบบละเอียดไหมจ๊ะตา”
“ถ้า แบบละเอียด ก็ต้องเท้าความไป ตั้งแต่เริ่มแรกสุด ที่ยังไม่มีวิญญาณใด ก่อกำเนิดขึ้น ทั้งหมด มีแต่ความว่างเปล่า แต่ด้วยอำนาจของกฎไตรลักษณ์ ดังที่บอกไป ความไม่แน่นอนในทุกสรรพสิ่ง เลยเข้ามาจัดการความว่างเปล่านั้น ให้เกิดการเคลื่อนตัวขึ้น นังหนู อะๆ ๆ ๆ”
“แล้วยังไงต่อจ๊ะตา”
“แล้วยังไง ความว่างนั้นเริ่มเป็นอากาศ เกิดขึ้น เกิดการเคลื่อนตัวเสียดสีกันของอากาศ ก็ทำให้ได้ความร้อนเป็นผลตามมา เกิดธาตุน้ำ จากความแตกต่างของชนิดอากาศที่เคลื่อนตัว วิทยาศาสตร์บอกไว้ว่า ไฮโดรเจนส่องส่วน รวมกับ อ็อกซิเจนหนึ่งส่วน เท่ากับน้ำ เมื่อน้ำถูกความร้อนเผา เนื่องจากการเคลื่อนตัว เสียดสีกันของธาตุดังกล่าวดังกล่าว ที่ถูกอำนาจความไม่แน่นอนจัดการ ตะกอนก็เกิดขึ้นเป็นผลตามมา ธาตุทั้งสี่ จึงอุบัติขึ้นมาด้วยประการฉะนี้ ทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ นังหนู อะๆ ๆ ๆ”
“หนูพอมองเห็นตามได้จะตา ยิ่งเทียบกับหลักวิทยาศาสตร์ แบบนี้ ใช่เลยจ้ะ หนูเคยเอาน้ำไปต้ม เห็นตะกอนเกิดเป็นคราบขึ้นจริงๆ จ้ะ แต่จิตวิญญาณ เกิดอย่างไรจ๊ะตา”
“วิญญาณ ก็คือธาตุรู้ ทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นในธรรมชาติ ธาตุรู้ก็จะเกิดขึ้นตามอาการนั้นๆ ไปด้วย เช่น การเคลื่อนตัวของอากาศ การได้ความร้อน การมีตะกอนดิน อาการที่ได้ธาตุน้ำมา สิ่งเหล่านี้ล้วนมีธาตุรู้ปนอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เมื่อธาตุรู้ หลายๆ ธาตุรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แบบธาตุเดียวกันก็จะดึงดูดเข้าไปหากัน รวมตัวกัน เหมือนน้ำเข้ากับน้ำ นำมันเข้ากับน้ำมัน เหมือนนิสัยคน ปัญญาเข้ากับพวกปัญญา ฤทธิ์เข้าได้กับพวกของฤทธิ์ เป็นต้น นังหนู อะๆ ๆ ๆ”
“อ๋อ....พอมองออก แล้วจ้ะตา ต่อไปก็คือต้องอาศัยกาลเวลา ที่บ่มวิญญาณธาตุพวกนี้ ให้ได้เจริญเติบโตขึ้น แบบนึกไม่ออกเลยว่าจะนานแค่ไหน หนูเคยได้ยินมาว่า น้ำคือชีวิต ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นจะมีชีวิตอาศัยอยู่ จริงไหมจ๊ะตา”
“ใช่แล้ว นังหนู การใช้ เวลาบ่ม วิญญาณแต่ละดวงให้เติบโต นานจริงๆ นั่นเป็นเพียง แค่ ธาตุรู้ หรือวิญญาณธาตุ กับธาตุสี่ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ยังมีการพัฒนาการของธาตุรู้ กว่าจะได้ตัวประกอบขึ้นครบเป็นจิต ที่สมบูรณ์ อีก ภาษาธรรมมะเรียกว่า เจตสิก คือตัวรู้สึก ตัวคิด ตัวจำ ทั้งหมดยังต้องใช้เวลาพัฒนาตัวเองขึ้นอีกนับไม่ได้ และกว่าจะได้อายตนะมาครบทั้งหก ด้วยการอาศัยตัณหาให้ช่วยสร้างบ้านให้ ดังที่มีปรากฏในพระไตรปิฏกแล้ว นังหนู อะๆ ๆ ๆ”

ตอบ ข้อ 2 ใช่



เว็บพระพุทธศาสนานามหายาน
www.BuddhaMahayan.com

www.BuddhaMahayan.com


www.BuddhaMahayan.com

www.BuddhaMahayan.com


 4,121 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย