ยังสับสนเรื่องของวิญญาณอยู่

 kakas    

(1) ตาเห็นคือวิญญาณเห็น ก็คือวิญญาณเกิดแล้ว และวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
(2) หูได้ยินคือวิญญาณได้ยิน ก็คือวิญญาณเกิดแล้ว และวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
(3) จมูกได้กลิ่นคือวิญญาณได้กลิ่น ก็คือวิญญาณเกิดแล้ว และวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
ข้อ(1) (2) (3) ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ
(4) ส่วนที่ว่าเมื่อวิญญาณจุติจิต(ตาย)ก็ไปปฏิสนธิจิต(เกิด)ในทันที แล้วแต่ว่ากรรมจะนำพาไปเกิดที่ไหน

วิญญาณในข้อง (1) (2) (3) เป็นวิญญาณอันเดียวกันกับข้อ (4) หรือไม่ เหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ จากคำถามผมเข้าใจอย่างนั้นหรือว่าเข้าใจผิดไป   




คนเราตายวิญญาณออกจากร่าง เรารู้ตอนไหนว่าเราตายแล้ว
ถาม คนเราหากตาย วิญญาณออกจากร่าง เราจะรู้ตอนไหนว่าเราตายแล้ว

ตอบ ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจคำว่าวิญญาณ เสียก่อนว่า
วิญญาณนั้นได้แก่ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ได้นึกคิดได้เป็นอย่างเดียวกับจิต
จิตกับวิญญาณนั้นเป็นคำที่ใช้แทนกันได้
จิตที่ทำหน้าที่เกิดเรียกว่าปฏิสนธิจิต หรือปฏิสนธิวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่เห็นทางตาเรียกว่า จักขุวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่ได้ยินเสียงทางหูเรียกว่า โสตวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่รู้กลิ่นทางจมูกเรียกว่า ฆานวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่ลิ้มรสทางลิ้นเรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
จิตที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางใจเรียกว่า มโนวิญญาณ
เพราะฉะนั้น จิตกับวิญญาณจึงเหมือนกัน เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ มิได้มีโลกของวิญญาณที่แยกออกไปต่างหากจากจิต
คือมิได้มีโลกของวิญญาณตามที่หลายคนเข้าใจ คือมีหลายคนเข้าใจว่าสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะออกจากร่างกายไปล่องลอยหาที่เกิดหรือไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อรอเวลาไปเกิดใหม่ คือรอเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก ความจริง ความเข้าใจเหล่านั้นเป็นความเข้าใจผิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด
ถ้าบาปกรรมนำเกิด ก็เกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายหรือสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าบุญกรรมนำเกิด ก็เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีการรอเวลา หรือต้องไปพักอยู่ที่ใดเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ด้วยเหตุนี้ ตอนตายจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าตนกำลังตาย เพราะจิตที่กำลังตายกับจิตที่รู้ว่าตายแล้วหรือกำลังตายนั้นเป็นจิตคนละจิตกัน
และที่คุณถามว่า คนตายตอนวิญญาณออกจากร่าง
คำว่าวิญญาณออกจากร่างก็ไม่มี เพราะวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น คือ
เกิดทางตาก็ดับทางตา เกิดทางหูก็ดับทางหู
เกิดทางจมูกก็ดับทางจมูก เกิดทางลิ้นก็ดับทางลิ้น
เกิดทางกายก็ดับทางกาย เกิดทางใจก็ดับทางใจ
เพราะฉะนั้นจึงออกไปจากร่างไม่ได้ ถ้าออกจากร่างได้ก็หมายความว่า วิญญาณไม่ดับจึงจะล่องลอยไปได้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณก็เป็นรูป ถึงจะล่องลอยไปไหนได้ และเมื่อวิญญาณไม่ดับล่องลอยไปได้ วิญญาณก็เป็นของเที่ยง ซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนาอีก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่เฉพาะแต่วิญญาณเท่านั้น รูป เวทนา สัญญา สังขารก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่เที่ยง คือไม่เกิดไม่ดับ หรือเกิดแล้วไม่ดับ
อีกประการหนึ่ง จิตหรือวิญญาณเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จึงล่องลอยไปไหนไม่ได้ เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น

________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=12&A=8041&Z=8506

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
อัสสุตวตาสูตร
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566
http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=23


• ธัมโอวาท โดย พระครูเกษมธรรมทัต (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)

• บอกบุญ

• ศิลปะแห่งการมีชีวิตอยู่เหนือปัญหา

• คุณธรรมสามัคคี ๔ ข้อ โดย พระเทพสิงห์บุราจารย์

• การแก้กรรมที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติเพื่อสู่นิพพาน

• ขอเชิญทุกท่านเข้าพรรษาทำบุญให้กับตัวเองทุกวัน

RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย