ท่านว่าจริงหรือไม่ที่วิญญาณสามารถที่จะล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้

 mcelab    

ท่านว่าจริงหรือไม่ที่วิญญาณสามารถที่จะล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ผมสงสัยเรื่องนี้มานานแล้วว่าสามารถที่จะเป็นไปได้จริงหรือไม่เนื่องจากเห็นว่ามีการขอเลขเด็ดจากสถานที่ต่างๆมากมายรบกวนท่านผู้รู้ทั้งหลายโปรดอธิบายความสงสัยนี้ด้วยนะครับขอบคุณครับ




วิญญาน คือจิต...

จิตมีกิจหน้าที่"รู้" ..

จึงเป็นเรื่องปกติที่ "วิญญาน" "รู้"อะไรๆได้ ....

ทั้งที่เป็น อดีต ปัจจุบัน และอนาคตครับ



คุณddmanครับ


ถ้าจิตในความหมายของคุณคือวิญญาณขันธ์ ขันธ์ 5 ในชาตินี้ตายแล้ว มันก็จบกัน ไม่มีชาติหน้า และไม่มีอดีตชาติ ตายแล้วก็สูญ

วิญญาน หรือจิต มันจะไปรู้ทั้งที่เป็น อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้อย่างไรครับ

แต่เพราะว่าจิตมีทั้งวิญญาณธาตุและวิญญาณขันธ์ แล้วอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันอยู่ในระนาบเดียวกัน สำหรับคนที่จิตสงบไม่กระเพื้อม มันจึงเห็นเส้นทางในระนาบนี้ได้



จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือธรรมชาติที่ทำหน้าที่ เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ จิตนี้ไม่ว่าจะเกิดแก ่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็ตาม ย่อมมีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ เหมือนกันทั้งสิ้น

จิต เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสด้วยกายไม่ได้ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะใด ๆ แต่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติฝ่ายนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ ไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามกฎของธรรมชาติ

อำนาจของจิตมีอยู่มากมาย เช่น มีอำนาจในการกระทำ การพูด การคิด การสั่งสมกรรมดี กรรมชั่ว นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการสร้างฤทธิ์ ทำสมาธิ ทำฌาน ทำอภิญญา และอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์

จิต จะเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว จิตจะมีการเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ คือ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง (หนึ่งล้านล้านครั้ง) จึงเป็นการยากที่บุคคลจะรู้เท่าทันได้

สถานที่เกิดของจิต มีอยู่ด้วยกัน ๖ แห่ง คือ
. ที่ตา เพื่อทำหน้าที่เห็นรูป
ที่ปรากฏทางตา
จิตนี้มีชื่อว่า จักขุวิญญาณ (จักขุ = ตา)
. ที่หู เพื่อทำหน้าที่ได้ยินเสียง
ที่ปรากฏทางหู
" โสตวิญญาณ (โสต = หู)
. ที่จมูก เพื่อทำหน้าที่รู้กลิ่น
ที่ปรากฏทางจมูก
" ฆานวิญญาน (ฆาน = จมูก)
. ที่ลิ้น เพื่อทำหน้าที่รู้รส
ที่ปรากฏทางลิ้น
" ชิวหาวิญญาณ (ชิวหา = ลิ้น)
. ที่กาย เพื่อทำหน้าที่รับความรู้สึก
ต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย
" กายวิญญาณ
. ที่ใจ เพื่อทำหน้าที่ รู้สึก
นึก คิด ทางใจ
" มโนวิญญาณ (มโน = ใจ)



ดังนั้น จิต หรือ วิญญาณ จึงหมายถึงสิ่งเดียวกัน นอกจากนี้ จิต ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น หทัย, ปัญฑระ, มโน, มนัส, มนินทรีย์, มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ, วิญญาณขันธ์, มนายตนะ เป็นต้น จึงขอให้เข้าใจว่า แม้จะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม ชื่อเหล่านั้นก็คือ จิต นั่นเอง



เปลวเทียน ต้องอาศัยไส้เทียนในการลุกไหม้ฉันใด จิตจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีที่ตั้งให้อาศัยเกิดฉันนั้น
ที่ตั้งให้อาศัยเกิดของจิตมี ๖ แห่ง ได้แก่
๑. ประสาทตา
๒. ประสาทหู
๓. ประสาทจมูก
๔. ประสาทลิ้น
๕. ประสาทกาย
๖. หทยวัตถุรูป



ประสาทตา (จักขุปสาท) เป็นที่ตั้งของจิตเห็น (จักขุวิญญาณ) ประสาทตานี้ มิได้หมายถึง ดวงตาหรือลูกตาทั้งลูก แต่หมายเฉพาะประสาทตาหรือแก้วตาที่อยู่กลางตาดำ โตประมาณเท่ากับศีรษะของเหา เป็นเยื่อบางดุจปุยนุ่น ที่ชุ่มด้วยน้ำมันซ้อนกันอยู่ ๗ ชั้น มีความสามารถในการรับคลื่นแสง (รูปารมณ์) ที่มากระทบ
ปสาทหู (โสตปสาท) เป็นที่ตั้งของจิตได้ยิน (โสตวิญญาณ) อยู่ภายในช่องหู มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายวงแหวน และขนมีอันละเอียดอ่อนสีแดงปรากฏอยู่โดยรอบ มีความสามารถในการรับเสียง (สัททารมณ์) ที่มากระทบ
ประสาทจมูก (ฆานปสาท) เป็นที่ตั้งของจิตดมกลิ่น (ฆานวิญญาณ) อยู่ภายในช่องจมูก มีลักษณะคล้ายกีบเท้าแพะ มีความสามารถในการรับกลิ่น (คันธารมณ์) ที่มากระทบ
ประสาทลิ้น (ชิวหาปสาท) เป็นที่ตั้งหรือที่อาศัยเกิดของจิตลิ้มรส (ชิวหาวิญญาณ) อยู่ตรงกลางลิ้น มีลักษณะเหมือนปลายกลีบดอกบัวเรียงรายซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มีความสามารถในการรับรส (รสารมณ์) ที่มากระทบ
ประสาทกาย (กายปสาท) เป็นที่ตั้งของจิตที่รับสัมผัสทางกาย (กายวิญญาณ) ประสาทกายนี้จะเกิดอยู่ทั่วร่างกาย ยกเว้นที่เส้นผม ขน เล็บ ฟัน กระดูก และบริเวณที่มีหนังหนาด้าน มีลักษณะคล้ายสำลีที่แผ่บาง ๆ ชุบน้ำมันจนชุ่มซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น มีความสามารถในการนรับความรู้สึกเย็นร้อน อ่อนแข็ง หย่อนตึง (โผฏฐัพพารมณ์) ที่มากระทบ
หทยวัตถุรูป เป็นที่ตั้งหรือที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ อันได้แก่ จิตที่ไม่ได้อาศัยปสาทรูปทั้ง ๕ ข้างต้น เป็นที่เกิดอยู่ภายในช่องเนื้อหัวใจ ซึ่งมีลักษณะเหมือนบ่อ มีโลหิตอันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจบรรจุอยู่ประมาณ ๑ ซองมือ มีสัณฐานโตประมาณเท่าเมล็ดในดอกบุนนาค เป็นรูปอันเป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ



ปสาทรูปทั้ง ๕ อันได้แก่ จักขุปสาทรูป, โสตปสาทรูป, ฆานปสาทรูป, ชิวหาปสาทรูป, กายปสาทรูป นอกจากจะเป็นที่อาศัยเกิดของจิตแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นประตู (ทวาร) สำหรับรับอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย อีกด้วย ดังนั้น จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จักขุทวาร, โสตทวาร, ฆานทวาร, ชิวหาทวาร และกายทวาร ส่วนหทยวัตถุรูป ซึ่งเป็นที่อาศัยเกิดของ มโนวิญญาณ นั้น ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นมโนทวารด้วย เพราะองค์ธรรมของมโนทวาร คือ ภวังคจิต ไม่ใช่หทยวัตถุรูป


http://www.buddhism-online.org/ContentSect02A.htm


สาธุท่านddman คุนgodama เข้าใจเรื่องจิตวิญญานผิดไปเป่าครับ



ขออนุโมทนากับทุกท่าน

ฉันเป็นสมาชิกใหม่ ได้รับความรู้ทางธรรมจากเวปนี้และจากที่คุณ ddman ทำลิ้งค์ไป ได้ความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเป็นลำดับ ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

สำหรับคุณ godama ได้แสดงมานั้น ฉันก็เข้าใจและสัมผัสได้เช่นกัน คุณ godama แสดงธรรมไว้ที่ใดบ้าง หากฉันอยากตามไปอ่าน ไม่ได้หมายความว่าฉันเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่คุณแสดงไว้

จุดแยกและความแตกต่างที่ทำให้เกิดกล่องสองใบเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า

ความถูกต้องมีให้แล้วในพระไตรปิฎก


อนุโมทนาสาธุครับ ท่าน 8q ช ัดเจนแจ่มแจ้งละเอียดดีครับ

ขอยืมคำท่าน 8q ที่ว่า"กล่องคนละใบ"มาตอบที่ท่าน 8qถามไว้ครับ


เงียบไปซะนานงานยุ่งเลยไม่ค่อยมีเวลามาดูนะครับเท่าที่อ่านมาทั้งหมดแล้วยังงงอยู่ครับว่าตกลงวิญญาณนั้นจะสามารถที่จะล่วงรู้อนาคตได้จริงหรือไม่ครับส่วนข้อมูลอื่นๆที่
ตอบกันมาขอบคุณมากครับมีประโยชน์ทั้งนั้นรับฟังทุกความคิดเห็นและทุกคำแนะนำครับเนื่องจากยังด้อยนักเรื่องธรรมะขอบคุณครับ


อ่านดูดีๆครับท่าน

mcelab


สาธุครับarunsuk
ความถูกต้องมีให้แล้วในพระไตรปิฎก


ผมเพิ่งใหม่ในนี้นะครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับ
เท่าที่อ่าน ผมเข้าใจว่าไม่มีทางที่จะรู้อนาคตได้ ถูกต้องไหมครับ
อีกเรื่อง รบกวนท่าน *8q* DT07501 ช่วยขยายความอีกนิดนะครับที่ว่า
"อำนาจของจิตมีอยู่มากมาย เช่น มีอำนาจในการกระทำ การพูด การคิด การสั่งสมกรรมดี กรรมชั่ว นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการสร้างฤทธิ์ ทำสมาธิ ทำฌาน ทำอภิญญา และอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์"
รบกวนครับ


คุณbigboytuครับ


การล่วงรู้อนาคตเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้มีอภิญญา ขนาดผมยังรู้อนาคตในอีก 3-5 ข้างหน้าว่า อำนาจทหารที่ปกครองประเทศไทยจะหมดไปสมบูรณ์ และประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยเต็มตัว ผมรู้แม้กระทั่งผมจะเกิดใหม่ในอีก 500 ปีข้างหน้า รู้ว่าเจ้าของโรงแรมแชงกลีล่า เมื่อตายแล้วจะเกิดเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์ และเรื่องราวในอนาคตอีกหลายเรื่อง

ที่สำคัญผมก็รู้ด้วยว่า พระศรีอริยะเมตตรัย จะเกิดในปีพศ. 5500 ปรินิพพานปี 84000 สิ่งที่ผมบอกออกไป คุณคิดยังไงล่ะครับ บ้าและสติฝั่นเฟืนแล้ว..ใช่ไหมครับ

ถ้าอภิญญา 6 ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าก็โกหกเราแล้ว


คุณarunsuk ครับ


ผมเคยชี้แนะเรื่องธรรมอยู่ที่เว็บpalungjit.com เว็บdhammajak.net เว็บwhatami.net เว็บmanager.com เว็บpantip เว็บ dhammakaya.org และอีกหลายเว็บ

แต่เนื่องจากสิ่งที่ผมรู้และตั้งกระทู้เอาไว้ เป็นพุทธพจน์ที่คนและพระทั่วไปไม่พูดถึง และเป็นสิ่งที่มารเขาไม่ต้องการให้บอก แม้ว่าผมมีหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันทั้งสิ้น มารเขาเลยสิงใจเหล่าทีมงานเว็บมาสเตอร์ทุกเว็บให้ไล่ผมออกในเกือบทุกเว็บ

กระทู้ของผมที่ยังพอหาอ่านได้ คือ ในเว็บwhatami.net เว็บpalungjit.comห้องหลุมดำ เว็บdhammajak.net แต่ 2 เว็บหลังเขาไล่ผมออกอย่างถาวร 2 ครั้งแล้ว


                                                                                               



ถ้าอภิญญา 6 ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าก็โกหกเราแล้ว

godama DT09511 [8 ก.ค. 2552 23:58 น.] คำตอบที่ 11


ควรกล่าววาจา แสดงความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย เจ้าค่ะ






การล่วงรู้อนาคตเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้มีอภิญญา ขนาดผมยังรู้อนาคตในอีก 3-5 ข้างหน้าว่า อำนาจทหารที่ปกครองประเทศไทยจะหมดไปสมบูรณ์ และประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยเต็มตัว ผมรู้แม้กระทั่งผมจะเกิดใหม่ในอีก 500 ปีข้างหน้า รู้ว่าเจ้าของโรงแรมแชงกลีล่า เมื่อตายแล้วจะเกิดเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์ และเรื่องราวในอนาคตอีกหลายเรื่อง

godama DT09511 [8 ก.ค. 2552 23:58 น.] คำตอบที่ 11


ก็ต้องแสดงความยินดีกับคุณ godama DT09511
ที่รู้ว่าตนเองบรรลุ อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ด้วยค่ะ






ที่สำคัญผมก็รู้ด้วยว่า พระศรีอริยะเมตตรัย จะเกิดในปีพศ. 5500 ปรินิพพานปี 84000 สิ่งที่ผมบอกออกไป คุณคิดยังไงล่ะครับ บ้าและสติฝั่นเฟืนแล้ว..ใช่ไหมครับ


เชิญท่านผู้อ่าน อ่าน จักกวัตติสูตร ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=11&item=33&items=1&preline=0&pagebreak=0

หัวข้อที่ [๔๘] ค่ะ
http://www.84000.org/tipitaka/read/?11/48


[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงจักสมควรมีสามีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ
ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง
มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก
จักยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ




ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม


เจริญในธรรมเจ้าค่ะ




                 


     


ผมเพิ่งใหม่ในนี้นะครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับ
เท่าที่อ่าน ผมเข้าใจว่าไม่มีทางที่จะรู้อนาคตได้ ถูกต้องไหมครับ
อีกเรื่อง รบกวนท่าน *8q* DT07501 ช่วยขยายความอีกนิดนะครับที่ว่า
"อำนาจของจิตมีอยู่มากมาย เช่น มีอำนาจในการกระทำ การพูด การคิด การสั่งสมกรรมดี กรรมชั่ว นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการสร้างฤทธิ์ ทำสมาธิ ทำฌาน ทำอภิญญา และอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์"
รบกวนครับ

bigboytu
อนุโมทนาครับท่าน

ขอตอบตามท่านผู้รู้ครับ

อำนาจของจิต

จิต หรือ วิญญาณ นี้ นอกจากจะเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ตามที่ทราบแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นประธานในธรรมทั้งปวง คือ การงานต่าง ๆ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่ว่าจะเป็นบุญ (กุศลกรรม) หรือเป็นบาป (อกุศลกรรม) จะสำเร็จได้ก็ด้วยจิตทั้งสิ้น ดังในธรรมบทที่แสดงไว้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฺฐา มโนมยา ซึ่งมีความหมายว่า ธรรมทั้งหลายมีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยจิต

จิต นี้ แม้จะเป็นนามธรรมที่ไม่มีรูปร่างตัวตน และแสดงความรู้สึก อยู่ภายในเท่านั้นก็จริง แต่ก็มีอำนาจวิเศษอย่างน่าอัศจรรย์ และวิจิตรพิสดารยิ่งนัก กล่าวคือ

๑. มีอำนาจในการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ของอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกาย การพูด การเคลื่อนไหว การกระทำต่าง ๆ ตลอดจนการคิดก็เกิดขึ้นด้วยจิตทั้งสิ้น สรรพสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถ เรือ เครื่องบิน ยานอวกาศ อาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ สิ่งก่อสร้าง ภาพวาด วิทยาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ ฯลฯ ก็ล้วนมีจิตเป็นผู้คิดขึ้นมาทั้งสิ้น

๒. มีอำนาจด้วยตนเอง คือ มีอำนาจในการทำบุญ ทำบาป ทำสมาธิถึงขั้นฌานสมาบัติ มีอำนาจในการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ (อภิญญา) ตลอดจนมีอำนาจในการทำลายอนุสัยกิเลส ที่เป็นเหตุให้มีการเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

๓. มีอำนาจในการสั่งสมกรรม เพราะจิตเป็นต้นเหตุ ให้มีการทำบาป ทำบุญ ทำฌาน ทำอภิญญา ทำวิปัสสนากรรมฐาน กรรมทั้งหลายที่ได้กระทำลงไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้ด้วยอำนาจของจิต

๔. มีอำนาจในการรักษาวิบาก (ผลของกรรม) กรรมทั้งหลายที่ได้กระทำลงไปแล้ว ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล แม้จะนานเท่าไรก็ตาม กี่ภพกี่ชาติก็ตาม ย่อมติดตามส่งผลตลอดไป จนกว่าจะปรินิพพาน

๕. มีอำนาจในการสั่งสมสันดานของตนเอง การกระทำใด ๆ หากกระทำอยู่บ่อย ๆ กระทำอยู่เสมอ ๆ ก็จะฝังในจิตติดเป็นสันดาน และคิดจะทำเช่นนั้นเรื่อยไป เช่น คบคนพาลก็จะกลายเป็นคนพาล คบบัณฑิตก็จะเป็นบัณฑิต ทั้งนี้ เป็นเพราะอำนาจในการสั่งสมสันดานของจิตนั่นเอง

๖. มีอำนาจในการรับอารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ไม่ว่าจะเป็นอดีตอารมณ์ อนาคตอารมณ์ หรือปัจจุบันอารมณ์ และไม่ว่าจะเป็นบัญญัติอารมณ์ หรือ ปรมัตถอารมณ์ จิตก็สามารถรับได้ทั้งสิ้น

แม้จิตจะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ บาป บุญ ที่ทำไว้ และอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่อง อยู่ในขันธสันดาน จะไม่สูญหายไป พร้อมกับการดับของจิตแต่ละดวง ทั้งนี้ เพราะจิตดวงใหม่ มีเหตุมีปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม และจิตดวงใหม่ ที่เกิดขึ้นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้แก่จิตดวงต่อไป เพื่อสืบต่อ บาป บุญ และกิเลสที่สั่งสมไว้ไป จนกว่าจะปรินิพพาน

ครับ
http://www.buddhism-online.org/Section02A_08.htm


ขอขอบพระคุณครับ สาธุ


กระทู้เยอะมากหาไม่เจอ อะอะ


 4,154 

  แสดงความคิดเห็น



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย