เมื่อเข้าใจนิยามของคำว่า "ตาย" ในพุทธศาสนา ก็จะเข้าใจทันทีว่า วิญญาธาตุและวิญญาณขันธ์เป็นค
เมื่อหลายท่านในเว็บนี้และอีกหลายเว็บยืนยันกับผมว่า วิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์เป็นตัวเดียวกัน พอผมถามไปให้เขาอธิบายว่า ตายคืออะไร? แต่พวกเขาก็ไม่ยอมตอบ เพราะหลักฐานว่าวิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์เป็นคนละตัวกัน มันอยู่ในนิยามของคำว่า "ตาย" ในพุทธศาสนานั่นเอง
ตายในความหมายของศาสนาพุทธ
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ให้ความหมายของความตายไว้ ๒ อย่าง คือ ๑. ความตาย หมายถึงการขาดไปแห่งชีวิตที่นับเนื่องในภพหนึ่ง[1] ๒. ความตาย หมายถึงความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลายในภพทั้งปวง หรือความก้าวไป(เคลื่อนไป) สู่ร่างอื่นแห่งสัตว์
ในอรรถกถาแห่งคัมภีร์สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ได้อธิบายความหมายของคำว่า ความแตกแห่งขันธ์เป็นต้นไว้ดังนี้ เมื่อกล่าวโดยปรมัตถ์ ขันธ์เท่านั้นย่อมแตก ไม่มีสัตว์ไรๆ ตาย แต่เมื่อขันธ์ทั้งหลายแตก สัตว์ก็ย่อมตาย จึงมีโวหารว่า เมื่อขันธ์ทั้งหลายแตกแล้ว สัตว์ก็ชื่อว่าตาย
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายของความตายไว้ว่า ความตาย หมายถึงความสลายแห่งขันธ์ ความขาดชีวิตินทรีย์ หรือความเสื่อมกับความสลายแห่งธรรมต่างๆ เหล่านั้นๆ
ความสิ้นไปแห่งอนุบาลธรรม ๓ ประการ
๑. ความสิ้นไปแห่งอายุ คือ กัมมชรูป
๒. ความสิ้นไปซึ่งธาตุไฟ (อุตุ) ที่ให้ความอบอุ่น
๓. ความสิ้นไปแห่งวิญญาณคือภวังคจิต ภวังคจิต
จะเห็นว่า ตายในความหมายของศาสนาพุทธ คือ ความแตกหรือความสิ้นไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย(ขันธ์ 5)ในภพ ซึ่งรวมถึงวิญญาณขันธ์ ด้วย ด้วยเหตุนี้ ถ้าวิญญาณขันธ์เป็นตัวเดียวกับวิญญาณธาตุแล้ว ก็เท่ากับเมื่อคุณหรือผมตายก็ต้องเข้านิพพานแน่ เพราะรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ขั้นทั้ง 5 ได้ดับหมดแล้ว
แต่เพราะว่า วิญญาณขันธ์เป็นคนละตัวกับวิญญาณธาตุ(เจตภูต, อทิสสมานกาย, กายทิพย์, ปฏิสนธิวิญญาณ) เมื่อเราตายไปแล้ว วิญญาณธาตุก็ยังสืบต่อกรรมของเราไปยังภพภูมิใหม่ ในสวรรค์ ในอบายภูมิ หรือในพรหมโลก หรือไม่ก็เกิดเป็นมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานอยู่ในโลก
หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวว่า ความตาย คือ การที่ชีวิตและวิญญาณออกจากสังขารหนึ่งเพื่อไปหาสังขารใหม่ ความตายไม่ใช่ความสูญ ไม่ใช่ความเสื่อม เป็นการเปลี่ยนสภาพเท่านั้น
การที่ชีวิตและวิญญาณออกจากสังขารหนึ่งเพื่อไปหาสังขารใหม่ ตัวที่เป็นชีวิตและวิญญาณ และออกจากสังขารหนึ่งเพื่อไปหาสังขารใหม่ ตัวนี้คือ วิญญาณธาตุ ส่วนชีวิตและวิญญาณที่ตายไปก็คือ วิญญาณขันธ์
ปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง จะเป็นอานาปานสติก็ได้ ไม่นานจะรู้ด้วยตนเอง