จดหมายเหตุพระพุทธบาทสี่รอย
"จดหมายเหตุ"พระพุทธบาทสี่รอย"
นับตั้งแต่มีธาตุมีธรรมบังเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในกาลอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตอันมิอาจจะกำหนดขอบเขตที่สิ้นสุดได้ก็ตามที ยอดแห่งเอกอัครมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณสมบัติอันเลอเลิศประเสริฐอย่างถึงที่สุดด้วยลักษณาการทั้งปวง ชนิดที่บรรลุถึงขีดขั้นหาที่ติมิได้ หาที่เปรียบมิได้ และหาที่เสมอสองมิได้เท่าที่ประวัติศาสตร์แห่งมวลหมู่มนุษยชาติจะพึงได้พบได้เห็นหรือได้รู้จัก แม้เพียงยลยินเพียงด้วยชื่ออย่างแท้จริงนั้น ย่อมไม่อาจจะที่จะเป็นใดอื่นไปได้อีกแล้ว นอกจากพระบรมศาสดาแห่งบวรพระพุทธศาสนา ผู้มีพระนามอันบังเกิดแต่พระคุณแห่งพระองค์เองทั้งสิ้นว่า สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแน่นอน....
องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ผู้ทรงพระสวัสดิโสภาคย์ทั้งหลายนั้น ทรงเป็นจอมอรหันต์ผู้อนุตรบุคคล คือทรงเป็นบุคคลเอก เป็นหนึ่งไม่มีสอง หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ เพราะทรงกอรปไปด้วยคุณาธิคุณอันยอดยิ่งกว่าผู้ทรงคุณอื่นๆทั่วไป ด้วยต้องทรงสร้างสมอบรมอธิการบารมีทั้ง 30 ทัศมาอย่างเหลือล้น จนสุดที่จะนับจะประมาณได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องยาวนานถึง 20 อสงไขย 100,000 มหากัป สำหรับ พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา) ส่วน พระศัทธาธิกะพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยศรัทธา) หรือ พระวิริยะธิกะพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยวิริยะความพากเพียร) ก็ยิ่งต้องใช้เวลาสร้างพระบารมีเป็นทบเท่าทวีคูณ ถึง 40 และ 80 อสงไขย กำไร 100,000 มหากัปตามลำดับ จึงจักสามารถตรัสรู้พระปรมาภิเษก สำเร็จยังพระสร้อยศรีสรรเพชญ์พุทธรัตนอนาวรญาณเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งปวงอย่างสมบูรณ์แบบและสมภาคภูมิอย่างแท้จริงได้ เพราะด้วยเหตุที่การอุบัติบังเกิดขึ้นของที่สุดแห่งอัจฉริยบุคคลอันดับหนึ่งเฉกเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น ย่อมจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุแห่งเงื่อนไข,จิตใจ,ข้อจำกัดและระยะแห่งกาลที่ยาวนานจนเหลือที่จะนับได้ดังกล่าว จึงมีสรรพชีวิตเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จักสามารถอดทน อดกลั้น ฟันฝ่าต่ออุปสรรค ความยากลำบาก และมหันตทุกข์ในสังสารวัฏต่างๆ สร้างสมไตรทศบารมีทั้ง 30 ประการจนตลอดรอดฝั่ง ถึงขั้นสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ว่า ในตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัป ที่ผ่านพ้นมา ได้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกเพียง 28 พระองค์เท่านั้น โดยบางกัป ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว บางกัปก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 2 หรือ 3 หรือ 4 พระองค์ และบางพุทธันดร (ช่วงเวลาจากพุทธสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งถึงพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง) บางคราว ก็ยืดยาวนานถึง 70,000 กัป ถึง อสงไขยกัปก็มี ซึ่งการดังกล่าวย่อมเป็นการ
เอโก พุทฺโธ สารกปฺเป
มณฺฑกปฺเป ชินา ทุเว
วรกปฺเป ตโย พุทฺธา
สารมณฺเฑ จตุโร พุทฺธา
ปญฺจ พุทฺธา ภทฺทกปฺเป
ตโต นตฺถาธิกา ชินา
ในสารกัป มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
ในมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
ในวรกัป มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
ในภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
พระพุทธเจ้ามากกว่านี้ ไม่มี
ก็หลักฐานหรือพยานทางวัตถุเพียงหนึ่งเดียว ที่เป็นเครื่องแสดงและยืนยันถึงการเสด็จขึ้นมาแล้วแห่งพระพุทธเจ้าถึง 4-5 พระองค์ ของช่วงเวลาแห่ง มหาภัทรกัปที่ชัดเจนและชัดแจ้งที่สุดเท่าที่โลกทั้งสิ้นอาจสามารถพึงพบพึงเห็นและเข้าพิสูจน์ได้ด้วยตาด้วยใจแห่งตนอย่างสิ้นสงสัยสิ้นเชิงนั้น โดยแท้แล้วก็คือ พระพุทธบาทสี่รอย อันเป็นรอยพระพุทธบาทแห่งองค์สมเด็จพระโลกนาถ สัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ซึ่งปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่นี่เอง....
1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
3. พระกัสสปพุทธเจ้า
4. พระโคตมพุทธเจ้า(พระองค์ปัจจุบัน)
โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ ได้ปรากฏเป็นรอยลึกลดหลั่นลงไปในแท่งหินใหญ่บนยอดเขาสูงในเขตป่าดงดิบอันลึกล้ำมาแต่บูรพกาล แม้พระไตรปิฎก ก็ยังได้จดจารึกบันทึกพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ไว้ในฐานะ 1 ใน 5 รอยพระพุทธบาทที่สำคัญที่สุดมาเนิ่นนานกว่า 20 ศตวรรษ ในนามรอยพระพุทธบาทแห่ง โยนกปุระ
หมายเหตุ , รอยพระพุทธบาท 5 แห่งที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ประกอบด้วย
1. สุวัณณมาลิก (ลังกา)
2. เขาสัจจพันธ์คีรี (สระบุรี ประเทศไทย)
3. เขาสุมนกูฏ (ลังกา)
4. แม่น้ำนัมมทานที (อินเดียหรือพม่า)
5. โยนกปุระ (ดินแดนทางภาคเหนือของไทย) ที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา ที่นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีทั่วโลกต่าง
สืบเสาะแสวงหากันมาเนิ่นนานก็ได้ปรากฏหลักฐานทั้งทางฝ่ายวัตถุและบุคคล ดังเช่น คำบอกเล่าของพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี ก็ได้เคยเล่าให้ผู้เขียน (เนาว์ นรญาณ) ฟังโดยตรงเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2538-2539 ว่า
พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เราเคยได้ธุดงค์ไปกราบมาแล้ว...
สมัยก่อน ตอนที่เรายังธุดงค์อยู่ในเขตภาคเหนือนั้น เราเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่ที่โยนกนคร(ปุระ) เราก็ธุดงค์ไปหาอยู่ สมัยที่เราไปนั้น เป็นราว พ.ศ. 2490 ถนนหนทางยังไม่มี เราต้องธุดงค์ข้ามเขาไปหลายลูก จึงไปถึง พบเป็น 4 รอยพระบาท...
และที่สำคัญที่สุด ก็คือการที่หลวงพ่ออุตตมะได้กล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่า
พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบไว้เองจริงๆนะ..!!!!!
และ
พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ทางเมืองนอก (พม่า)เขาก็รู้ และเสาะหาอยู่เหมือนกัน คิดกันไปว่าน่าจะอยู่ในเขตพม่า แต่จริงๆแล้ว ก็มาอยู่ที่เมืองไทยเรานี่แหละ....
นอกจากนี้ หลักฐานในทางวัตถุที่ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทแห่ง โยนกปุระ แท้จริงแล้วก็คือ พระพุทธบาทสี่รอย ก็คือ แผ่นศิลาจารึก ที่ติดอยู่บนพื้นผนังกำแพงมุขหลังพระวิหาร พระนาคปรก วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
กทม. อันสถาปนามาแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายถึงรอยพระพุทธบาททั้ง 5 แห่ง โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่โยนกปุระนั้น ในศิลาจารึกแผ่นนี้ ได้ขยายความระบุถึงที่ประดิษฐานไว้อย่างชัดเจนยิ่งว่า
รอยพระพุทธบาท อันพระพุทธเจ้าทรงประดิษฐานไว้บนยอดเขา รังรุ้ง แดนโยนกประเทศ คือเมืองเชียงใหม่
ยิ่งไปกว่านี้ หลักฐานในทางวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอีกประการก็คือ คำให้การของขุนหลวงหาวัด อันว่าด้วยเรื่องราวต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าให้อาลักษณ์บันทึกรับสั่งของเจ้าฟ้าอุทมพร(ขุนหลวงหาวัด) ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2310 ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย (สมัยโบราณเรียก พระพุทธบาทรังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า
....สมัยสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา เรียก เขารังรุ้ง จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรง ทั้งสังวาลและภูษา แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระบาท และทำสักการบูชาด้วยธง ธูปเทียน ข้าวตอกดอกไม้ มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี
ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้เอง พระพุทธบาทสี่รอย ที่มีหลายชื่อหลายนาม ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธบาทรังรุ้ง หรือ พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ จึงเป็นรอยพระพุทธบาทรอยแรกที่คนไทยได้เคยค้นพบและกราบนมัสการ สมดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยได้ทรงรับรองไว้ครั้งหนึ่งว่า
พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย"
พระศรีอาริยเมตไตรโยโพธิสัตว์ จะมาตรัสรู้เป็นองค์สุดท้าย เมื่อตรัสรู้แล้ว โปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็มาเหยียบไว้อีก เหยียบทีนี้น่ะดูเหมือนจะใหญ่ คือว่าเหยียบเต็มเลย ก็คล้ายๆกันกับว่า เหยียบปิดเลย ละลายหินก้อนนั้น เพราะว่าเมื่อหมดศาสนาพระศรีอาริย์แล้ว.....ก็ไม่มีศาสดาใดที่จะมาตรัสรู้อีก เรียกว่า แผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็น
แผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด ....แผ่นดินนี้เรียกว่า ภัทรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์....
หรือแม้แต่ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อย่างยวดยิ่งแห่งวัดป่าอรัญญวิเวก จ.นครพนม เมื่อครั้งยังเที่ยวธุดงค์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยเช่นกันว่า
พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัป ที่มีความสำคัญที่สุดในจักรวาล...
ด้วยเหตุดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เอง จึงเป็นที่สมมุตยุติสรุปการทั้งปวงได้อย่างสิ้นสงสัยอย่างสิ้นเชิงแล้วว่า อัน พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ หรือ พระพุทธบาทรังรุ้ง และหรือ พระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่ดังที่พรรณนามานี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง และมีความสำคัญอย่างที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัปถึงเพียงไหน..???
เพราะที่สุด พระคุณเจ้า หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ พระผู้ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งยุคก็ยังได้เคยพยากรณ์ไว้ เมื่อครั้งที่หลวงปู่สิมยังเป็นสามเณรอยู่ว่า เณรสิมนี้ ยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ถ้าเบ่งบานเมื่อได้ จะหอมกว่าหมู่ เมื่อได้เล็งญาณพิจารณาการทั้งสิ้นแล้ว จึงได้กล่าวสรุปปิดท้ายไว้ก่อนละสังขารไม่นานว่า
พระบาทสี่รอยนี้ เป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเหยียบรอยพระบาทไว้เองจริงๆ....
รอยพระบาทที่จังหวัดสระบุรี เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคดมเพียงพระองค์เดียว แต่ที่พระบาทสี่รอยนั้น เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ไหว้พระบาทสี่รอยครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้ารวดเดียวถึง 4 พระองค์นั่นแหละ...."
โดย..........ศรัทธา
3,973