สวัสดีครับ พี่ๆชาวเว็บธรรมะไทยทุกท่าน ตอนนี้ผมมีปัญหาที่คั่งค้างมานานแล้ว ตอนนี้ผมอายุ 15 ปีครับ แต่ปัญหาของผม ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครนะครับ ทั้งที่ผม ก็ศึกษาในเรื่องของธรรมศึกษา จะได้ธรรมศึกษาชั้นเอกแล้ว แต่ผม ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกิเลส ได้ซักที เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
สมัยก่อน ผมเคยอยู่ในสังคมที่มีเพื่อนไม่ดีครับ ทำให้ผมได้เริ่มรู้จักคำว่า "ช่วยตัวเอง"หรือ"ชักว่าว" หลังจากนั้น ผมก็พึงพอใจกับมัน มาเป็นระยะเวลาสักพักหนึ่ง แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกตัวได้ว่า มันเป็นสิ่งมัวเมาทำให้จิตใจลุ่มหง เหมือนสิ่งเสพติด หรือนั่นก็คือผิดศีลข้อ 5 นั่นเอง และมันไม่ได้เป็นทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง แต่พอคิดได้ไม่นาน วันต่อๆมา ผมก็เกิดความรู้สึกทางเพศอีก ผมชอบช่วยตนเองตอนอาบน้ำ พอช่วยตัวเองเสร็จ ก็รู้สึกละอายแก่ใจทันที แต่ผมก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะตั้งสัจจะแก่ตนอย่างไร ก็ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ทางเพศได้ (ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงวัยรุ่นด้วยครับ) จนครั้งหนึ่งได้อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่า จะตั้งใจไม่ช่วยตัวเองอีก แต่สุดท้าย กิเลสก็ครอบงำผม ผมก็กลับไปช่วยตนเองอีก พอช่วยตัวเองเสร็จ ก็รู้สึกตัว ก็พยายามเริ่มต้นใหม่ อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ว่าจะเลิกให้ได้ แต่ก็กลับมาเหมือนเดิมอีก ทำอย่างนี้นับหลายร้อยครั้ง เป็นเวลา2 ปีกว่าแล้ว ผมรู้สึกละอายใจแก่ตนเองมาก และคิดว่า ผมคงบาปหนักมาก ที่ไม่สามารถทำตามสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์แต่ละครั้งได้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พอสามารถห้ามใจตนเองไม่ให้ช่วยตนเองได้ เป็นเวลา 21 วัน แต่พอวันที่ 22 ผมกลับฝันเปียก ทั้งๆที่ผมไม่ได้ฝันอะไรเลย ผมคิดว่า ผมคงจะบาปแน่ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆนะครับ
เอาล่ะครับ และในวันพรุ่งนี้ จะเป็นวันเข้าพรรษาแล้ว ผมจะไปทำบุญ ผมอยากให้ใครก็ได้ครับ ช่วยแนะนำผมหน่อย ผมอยากรู้ว่า ผมนั้นบาปหนักแค่ไหน พรุ่งนี้ ผมจะตั้งใจตั้งสัจจะแก่ตนเองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ผมจะไม่ปล่อยใจให้ใหลลงสู่ที่ต่ำง่ายๆอีกแล้ว พยายามนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ไว้ ผมนั้นไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจครับ ถ้าเกิดท่านรู้ว่า ผมเคยช่วยตนเอง คงจะเสียใจเป็นแน่ แล้วพอมีวิธีที่ช่วยดับอารมณ์ทางเพศบ้างไหมครับ ผมอยากจะเลิกจริงๆ เพราะทุกครั้งที่ผมทำ มันจะทำให้ผมอ่อนเพลีย อีกอย่าง ช่วงนี้ผมอยากตั้งใจเรียน และเรื่องแบบนี้ ค่อยคิดอีกทีหลังแต่งงานจะดีกว่าครับ
ขอขอบพระคุณมากนะครับ ที่สละเวลา ผมอยากจะฟังแนวคิดดีๆจากท่าน ขอความกรุณาด้วยครับ
เกิดจากวิบากกรมในอดีต ที่ทำให้ใจหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้ค่ะ
วิธีแก้คือ สวดมนต์ค่ะ
ดังคำว่า สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสนาเป็นยากิน
พอเรารู้ว่าจิตเรากำลังคิดถึงเรื่องพวกนั้นอยู่ให้เราสวดมนต์ในใจค่ะ ไม่ก็ภาวนาพุทธ โธไปเรื่อยๆค่ะ
ยามว่างควรสวดมนต์นะคะ พอสวดไปสักระยะหนึ่งจิตก็จะเป็นสมาธิมากขึ้น และความฟ้งในเรื่องแบบนี้หรือจินตนาการในเรื่องพวกนี้ก็จะลดน้อยลงค่ะ จนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดึงจิตเราตกไปค่ะ
การวิปัสนาหรือการนั่งสมาธิก็จะช่วยให้จิตส่งออก/ฟุ้งซ่าน ในเรื่องพวกนี้ลดไปเรื่อยๆ ค่ะ
สักวันละ 15-30 นาทีก็ได้ค่ะ จิตจะโปร่ง โล่ง เบา สบายค่ะ
เสร็จแล้วก็อธิษฐานจิตขอให้เราไม่คิดในเรื่องพวกนี้นะคะ
และในวันหนึ่งควรแผ่เมตตาด้วยค่ะ จะดีมากค่ะ
----------------------------------------------------------------------------------
ใจเรายังบังคับได้ยาก แล้วนับประสาอะไรกับใจผู้อื่น
หากตอบผิดอย่างไร ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
น้องเอ๋ย
ยังไม่ผิดศีล ๕ เพราะ ยังไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น อย่าไปกังวลกับเรื่องนี้ เดี๋ยวความคิดจะยิ่งหมกมุ่น เกิดกลายเป็นนิวรณ์
เรื่องไม่มีสัจจะกับตัวเอง ก็แค่ไม่มีสัจจะบารมี ยังไม่ได้โกหกใคร ยังไม่ได้ทำให้ผู้อิ่นเดือดร้อน อย่ากังวลอีกเหมือนกัน
...................................
ผู้ไม่มีบารมี จะบรรลุธรรมได้ลำบาก
ส่วนเรื่อง ติดใจในกาม ถือเป็นสังโยชน์ จัดว่ามีกำลังเกาะจิตปานกลาง ผู้ที่ละได้ถึงขั้นต้องบรรลุอนาคามี
ปธาน ๔ (ความเพียร)
๑. สังวรปธาน (เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น)
๒. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว)
๓. ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมี )
๔. อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์)
ปธาน ๔ นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปธาน ๔ (ความเพียรชอบ, ความเพียรใหญ่)
ปิติ สุข จาก กามเกิดขึ้นแค่ประเดี๋ยวประด๋าว
แต่ปีติ สุข จากองค์ฌาน นานเท่านานจนกว่าน้องจะออกจากฌาน
..........................
ลองทำสมาธิดู หากเข้าถึงฌาน แล้วจะเลิกติดใจ กามราคะ (สังโยชน์ตัวที่๔)เปลี่ยนมาติดใจรูปราคะ(สังโยชน์ตัวที่๖)แทน
เพราะ ในองค์ฌาน เกิดปีตินานกว่า เกิดสุขนานกว่า แบบอิงกาม
นะน้องวัยกลัดมัน
ศีล ๕ ห้ามร่วมประเวณีกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา
การช่วยตัวเอง ไม่ได้ผิดศีล ๕ แต่ถ้าถือศีล ๘ ถึงจะผิด
การโกหกตัวเอง ก็ไม่ผิดศีล ๕ แต่ขาดสัจจะบารมี
พระโสดาบัน ท่านยังครองเรือนได้อยู่ เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา
การที่จะทำให้อารมณ์ทางเพศน้อยลง ท่านให้ผ่อนอาหารลงเรื่อยๆ คือกินน้อยลง
โดยเฉพาะมื้อเย็น งดได้เลยยิ่งดี จะได้ไม่มีพลังงานส่วนเกิน ถ้างดไม่ได้ ก็ทานแต่น้อยพออยู่ได้ก็พอ
แต่ที่สำคัญ คือสื่อสมัยนี้ ไม่ว่า โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ภาพโฆษณา ล้วนแต่ใช้เรื่องเพศเป็นจุดขาย คนจึงถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา อาชญากรรมทางเพศจึงเพิ่มสูงขึ้นๆอย่างไม่มีหยุดยั้ง
ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ เป็นประตูของกาม คอยระวังประตูทั้งหกนี้ไว้ดีๆ
สัจจะบารมี เป็นอย่างไรบ้างครับ ช่วยขยายความหน่อยครับ
ขอแนะนำให้น้องไปศึกษาเรื่อง
บารมี ๑๐ ทัศน์ , บารมี ๓๐ ทัศน์
ทศชาติชาดก
..................................
วธุรชาดก ,พระวิธุรบัณฑิตบำเพ็ญสัจบารมี
ปรงงัยรู้จักบ่
ปรงโดยการหารูปเกี่ยวกับการตาย ศพ มาดูแล้วคิดปรง
จำให้แม่นเวลาเกิดความต้องการก็ให้นึกถึงรูปพวกนี้เอาใว้
ค่อยๆทำไปแล้วดีเอง
สัจจะบารมี คือการตั้งปณิธานว่าจะไม่หลอกลวง หรือทำตามสิ่งที่ตัวเองพูด เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า
แล้วสัจจะบารมี มีโทษอย่างไรบ้างครับ บาปนี้ จะส่งผลต่อเราอย่างไรบ้างครับ
" กิเลสเครื่องกังวลใดมีอยู่ในกาลก่อน
เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้นให้เหือดแห้งหายไป
กิเลสเครื่องกังวลใดจงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง
จักเป็นผู้สงบระงับแล้วเที่ยวไป "
เจริญในธรรมครับ
อภิปัญโญ ภิกขุ
......แม้จะไม่ครบองค์ในการผิดศีล๕ แต่ก็ทำให้ศีลด่างพร้อยและถ้าหมกมุ่นมากๆก็จะทำให้มีความไวต่ออารมณ์ทางเพศ เห็นเพศตรงข้ามก็คิดแต่เรื่องแบบนี้ ทำให้จิตใจตกต่ำลงๆ ถ้ายังเลิกไม่ได้ก็พยายามทำให้น้อยลง เช่น งดเว้นในวันสำคัญๆหรือจำกัดจำนวนครั้ง/เดือน
......ศึกษาธรรมหรือฟังธรรมเสมอๆเพื่อให้จิตอยู่กับกุศลมากๆ......เมื่อใดที่จิตเป็นกุศล...อกุศลจะไม่เกิด....เพราะจิตจะมีอารมณ์ได้เพียงหนึ่งและกุศลกับอกุศลจะไม่เกิดพร้อมกัน
......เมื่อเกิดอารมณ์ก็อย่าอยู่ในที่ลับๆตามลำพังให้อยู่ในที่แจ้งท่ามกลางผู้คน
......หากิจกรรมอื่นทำอย่าปล่อยให้ตัวเองว่างเกินไป
......อย่าสอดส่ายหาอารมณ์มาเสพเพิ่ม เช่น สื่อลามกต่างๆ, websiteที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
.......จะให้เด็ดขาดหักดิบก็ต้อง.....ศึกษาและหมั่นพิจารณาอสุภกรรมฐาน คือ พิจารณาเห็นกายโดยความเป็นของไม่งามเต็มไปด้วยปฏิกูลและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พิจารณาให้เห็นความเป็นสามัญลักษณะหรือไตรลักษณ์........กระทำให้มากพิจารณาทั้งที่เป็นกายของตนและของผู้อื่นทั้งภายนอกและภายใน.......โดยเฉพาะกายตนเองต้องพิจารณาให้มากๆ