ทำไมต้องเป็เราที่เสียสละ

     

ทำไมต้องเป็นเราที่เสียสละ หนูเป็นลูกคนโตอายุ 24 ปี เพิ่งเริ่มเรียนป.ตรี มีพี่น้องสามคน ตอนนี้และที่ผ่านมาต้องดูแลย่า ไม่ว่าจะพาไปหาหมอ จัดยาให้กิน เรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ต่างๆ ย่ามีลูกชาย 4 คน ไม่มีใครสนใจย่าเลย ไม่เคยถามสารทุกข์สุขดิบย่าเลย ไม่เคยมาเยี่ยมย่าเลย ตอนนี้ย่าอยู่กับลูกคนที่ 4 ซึ่งก็เป็นพ่อของหนูเอง พ่อหนูก็ไม่ค่อยจะใส่ใจย่าซักเท่าไร...
หนูบอกให้เขาพาย่าไปหาหมอหน่อย เขาบอกว่าไม่ไปขี้เกียจไปนั่งรอ...มันเมื่อย ย่าอายุ ประมาณ82 มีโรคประจำตัวด้วย หลายโรค หนูเบื่อที่ต้องดูแลย่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ปู่ยังอยู่ก็เป็นหนูดูแลจนกระทั่งปู่เสียชีวิต หนูมีความรู้สึกว่าทำดีเท่าไรก็ไม่เพียงพอ ย่าไม่เคยดีกับหนูอย่างจริงใจ เวลาหนูทำความผิดอะไรมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ ย่าจะซ้ำเติมทันทีแถมยังพูดให้ร้ายไปในทางเสียๆหายๆอีกด้วย และย่าก็เป็นคนชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของหนู และก็คนในบ้านด้วย ชอบเปิดดูห้องนอน ก็ไม่รู้จะเปิดดูทำไม... ย่าเคยพูดว่าหนูดีกับเขา..เหตุที่พูดแบบนั้นก็เพราะตอนนี้ย่าไม่เหลือใครที่สนใจย่าแล้ว...คนที่ย่ารักมากที่สุดหวังจะฝากผีฝากไข้ในยามแก่ชราก็กับไม่สนใจใยดีย่าเลย แต่บางครั้งหนูก็สงสารเขาก็อดไม่ได้ก็ต้องดูแลเขา...เพราะไม่มีใครสนใจ สรุปก็คือหนูดูแลเขามากที่สุด ดูแลมากกว่าลูกแท้ๆของเขาเสียอีก
จะมีวิธีที่ทำให้หนูไม่คิดแบบนี้อีกมั้ยคะ หนูทราบนะคะว่าการที่คนเราทำดีกับใครโดยไม่ออกมาจากใจเนี่ยมันไม่ดี...
ปัญหานี้มันเกิดขึ้นมานานแล้ว..จนปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ พอหนูรู้ตัวคิดได้ก็เลิกคิดแบบนั้น แต่พอไม่นานก็กลับมาคิดแบบเดิมอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด
ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไรของหนูที่จะต้องมาเจอสภาพแบบนี้

(เหตุที่หนูเพิ่งเริ่มเรียนป.ตรี เพราะหนูต้องออกมาช่วยพ่อแม่ดูแลสวน ที่บ้านมีอาชีพเกษตรกรรม ต้องเสียสละให้น้องเรียนป.ตรีก่อน และก็ต้องมาดูแลปู่กับย่าด้วย )




..........ศาสนพุทธสอนให้ทำความดี เพราะทุกๆครั้งที่เราทำความดีเราได้ซักฟอกหรือชำระกิเลสออกไปจากใจ ได้ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น แต่การทำความดีแล้วเพ่งเล็งผลหรือเร่งผลว่าเมื่อไรผลการทำความดีจะตอบแทนเราเสียที อันนี้เป็นอกุศลคือความโลภที่มักเข้ามาแอบแฝงอยู่ในใจทำให้ความดีที่ทำไม่บริสุทธิ์ผลที่จะได้ก็ไม่สมบูรณ์ ยิ่งเราเร่งเพ่งเล็งให้กรรมดีให้ผลแต่ก็ยังไม่เห็นผลสักทีก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์ แล้วทำให้กรรมดีของเรามีน้ำหนักลดลงเพราะทำด้วยความจำใจเจตนาในการทำกรรมดีก็มีกำลังอ่อน

.........เรื่องการให้ผลของกรรมนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย (ดูเรื่องกรรม๑๒ => http://www.geocities.com/metharung/kram12.htm ) เมื่อถึงเวลาสุกงอมแล้วกรรมย่อมจะให้ผลเองเร่งไม่ได้ การที่เรายังลำบากหรือกรรมดียังไม่ให้ผลอาจเป็นเพราะเรายังมีต้นทุนบุญกุศลน้อยสมควรต้องเร่งสะสมความดีให้มากๆจะได้เบียดเบียนอกุศลวิบากให้มีน้ำหนักเบาบางลง หรืออาจเป็นเพราะในอดีตทำความดีด้วยเจตนาที่มีน้ำหนักน้อยไม่ได้ทำดีด้วยความตั้งใจเต็มใจ100%เป็นต้น การที่เราจะทำความดีได้อย่างมีความสุขก็ควรทำดีเพื่อมุ่งชำระขัดเกลาจิตใจตนเองมุ่งเพื่อยกระดับจิตใจตนเอง ก็จะทำให้เราทำความดีด้วยความตั้งใจและเต็มใจทำก็จะเป็นกรรมดีที่สมบูรณ์แบบมีผลของกรรมก็จะมีกำลังแรง จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย

.........การที่คุณทำดีกับคุณย่าโดยส่วนลึกแล้วท่านก็ต้องมีความรักคุณแน่ ลองดูใหม่น๊ะ!ครับทำดีกับท่านโดยเต็มใจและตั้งใจไม่ต้องนึกน้อยใจหากท่านดุด่าว่ากล่าวบ้าง และต้องอดทนที่จะไม่โต้เถียงหรือใช้อารมณ์กับท่าน ทำไปสักระยะหนึ่งแล้วลองสังเกตดูว่าท่านจะมีท่าทีที่อ่อนโยนขึ้นหรือไม่ ผมเชื่อว่าถ้าคุณทำความดีกับคุณย่าด้วยความรักจะทำให้ท่านรู้สึกเกรงใจคุณมากขึ้นจะดุด่าว่ากล่าวจะลดลงบางทีก็อาจมองข้ามความผิดเล็กๆน้อยๆไป......แทนที่จะคอยจับผิดเหมือนก่อน

..................ขอให้มีความสุขกับการทำความดีเพื่อความดี.............


แน่นอนถ้าพูดถึงเวณกรรมก็มีส่วนทั้งสองคนแต่ถ้ามองตามหลังของพระพุทธเจ้าคือมองทุกอย่างตามความจริงด้วยปัญญาคุรก็จะรู้...คุณลองคิดดูซิว่าถ้าคุณเป็นคนแก่เหมือนกับย่าของคุณในตอนนี้แล้วไม่มีใครมาส่นใจแม้แต่ลูกของตัวเองก็ไม่สนใจแล้วคุณจะคิดยังไง...คุณก็ต้องการคนคอยช่วยคุณหรืแอเอาใจใส่คุณเหมืนกันใช่มั้ย...ตามหลักศาสนาพุทธแล้วการช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนใดคือการช่วยที่ประเสริฐสุดนั่นคือคุณจะใดบุณในระดับพระโสดาบันเค้าปฏิบัติกัน...ผมขอให้กำลังใจกับคนดีอย่างคุณด้วยนะที่ยังคงอดทนทำอยู่จถึงปัจจุบันนี้และผมขอให้คุณทำอย่างนี้ต่อไปนะเพราะพระคุณที่สูงที่สุดคือพ่อแม่รวมถึงปูย่าตายายด้วยเช่นกันเพราะถ้าเราไม่มีเค้าเราก็เกิดมไม่ได้หรือไม่ก็อดตายตั้งแต่แรกเกิดแล้วคุณว่าจริงมั้ย.



สาธุนะหนู ที่ได้ทำบุญกับผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยมีใครใยดี

นี้คือโอกาสสร้างบุญสร้างบารมีของหนูแล้วนะ
โอกาสนี้มาอยู่ในบ้านของหนู โดยที่หนูไม่ต้องแสวงหาไปไกลเลย
ทำด้วยความเต็มใจนะ มีบุญมาก เกิดในชาติภพใดก็จะมีแต่คนเมตตาช่วยเหลือ
ไปที่ไหนก็ไม่เคยอดตกยาก จะมีแต่คนรัก คนเมตตา

ถึงแม้คุณย่า หรือใคร มองไม่เห็น แต่เทวดาเขาเห็น เขาเป็นพยานให้หนูได้
อย่าได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจด้วยความคิดอ่านเองนะ อดทนสร้างความดีไว้

ถ้าคิดท้อแท้บ้าง ก็ให้มาระบายในนี้ได้นะ มีคนรับรู้ความดี และคอยให้กำลังใจ
หนูอยู่

ขอบุญรักษานะ



ขอบคุณพวกพี่มากนะคะ..ที่ให้คำแนะนำ...หนูจะนำไปปรับใช้ค่ะ...
อยากที่พี่คำตอบที่ 1 บอกว่า..ถ้าดีกับย่ามากๆๆเค้าก็จะเกรงใจเราเอง เค้าจะไม่ค่อยว่าเราซักเท่าไร เหตุการณ์นั้นหนูเคยเจอมาแล้ว มันรู้สึกดีนะคะย่าไม่มายุ่งกับหนูเลย..หนูก็แค่ทำหน้าที่ของหนูให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง...แต่มาช่วงนี้ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น หนูกับรู้สึกเบื่อไม่อยากดูแลย่าและหนูก็ไม่สนใจย่าเลย...แถมยังพูดจาทำร้ายจิตใจย่าอีก ย่าอึ้งเลยที่หนูพูดกับย่าแบบนั้น (หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้ว หนูรู้สึกผิด เราพูดอย่างนั้นไปได้อย่างไร ตอนที่หนูพูดออกไปหนูรู้ตัวนะคะ แต่ห้ามที่จะไม่พูดไม่ได้) ณ ตอนนี้ หนูสองจิตสองใจ ว่าจะดูแลย่าต่อไปให้ดีที่สุด หรือว่า จะปล่อยปะ ละเลยไม่สนใจ...


พวกพี่ๆๆมีวิธีแนะนำหนูที่จะทำความดีโดยที่ไม่กลับไปรู้สึกหรือคิดแบบนั้นอีกมั้ยคะ...

ตอนนี้หนูรู้สึกว่าในใจหนูมีกิเลสหรือว่านางผีร้ายอยู่เยอะมากเลยค่ะ..อยากจะขจัดมันออกให้ได้เร็วๆๆๆๆที่สุค่ะ


…..จากที่คุณเล่าว่าได้พูดจาทำร้ายจิตใจคุณย่าทั้งๆที่รู้ตัวนั้นเป็นเพราะคุณทำไปโดยขาดสติที่จะยับยั้งชั่งใจ...........สิ่งที่ต้องรีบกระทำโดยด่วน คือ ให้รีบกราบขอขมาและปรับความเข้าใจกับคุณย่า โดยปรกติของผู้สูงอายุจะรู้สึกกังวลและมีความเครียดอยู่แล้วที่ต้องเป็นภาระของลูกหลาน........ยิ่งโดนลูกหลานบ่นว่าก็ยิ่งเพิ่มความเครียดและความรู้สึกน้อยอกน้อยใจรู้สึกชีวิตไร้ค่าไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ .......และสิ่งนี้ถ้าสะสมมากเข้าจะเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า......และก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตายที่ปรากฏตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ(..ไม่ได้ขู่น๊ะ!ครับ)........เพราะฉนั้นจึงแนะนำให้.......คุณรีบกราบขอขมาคุณย่าเป็นการด่วน!.......เพื่อรักษาจิตใจทั้งสองฝ่าย คือ คุณย่าถ้ารู้ว่าหลานทำไปโดยขาดสติแต่ใจจริงไม่ได้รังเกียจคุณย่าท่านก็จะสบายใจขึ้นและจะให้อภัย.......ในส่วนตัวคุณก็จะได้ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดที่แบกไว้ตลอดเวลา อย่าคิดว่าคำพูดเล็กน้อยเดี๋ยวย่าก็คงลืม เพราะคุณมิอาจคาดได้ว่าคำพูดที่ออกไปอย่างไร้สตินั้นผู้ฟังเก็บไปคิดต่ออีกไกลแค่ไหน

.......ส่วนการที่คุณลังเลที่จะดูแลคุณย่าต่อไปดีหรือไม่....คงจะกลัวว่าจะพลาดพลั้งทำให้ท่านเสียใจอีก.......ทำไมจะทิ้งโอกาสที่จะตักตวงบุญใกล้ๆภายบ้านเสียล่ะ..........การที่คุณดูแลคุณย่าเป็นอย่างดีไม่เพียงแต่คุณย่าเท่านั้นที่จะรักและเกรงใจคุณ......ผมเชื่อว่าคุณพ่อของคุณก็รักแลชื่นชมคุณอยู่ลึกๆที่คุณช่วยเป็นหูเป็นตาแทนท่าน.....และถ้าวันหนึ่งลูกๆของคุณย่าคุณถ้ารู้ว่าคุณคือคนที่ดูแลคุณย่าเป็นอย่างดีมาโดยตลอดคุณก็จะเป็นที่รักของญาติๆผู้ใหญ่......แม้แต่คนทั่วไปที่ไม่ใช่ญาติก็นึกชื่นชมคุณด้วยซ้ำ........ที่ผ่านมาคงเป็นเพราะความคิดที่ว่า “..ทำไมถึงต้องเป็นเรา ”และเพราะคาดหวังการตอบแทนความดีที่เป็นวัตถุด้วยหรือป่าว......ที่คอยรบกวนจิตใจ......จึงทำให้บางครั้งหงุดหงิดที่ต้องคอยดูแลคุณย่า.....ขอถามว่าเวลาที่เห็นคุณย่าอารมณ์ดี.....และมีใบหน้าอิ่มเอิบแช่มชื่นทุกครั้งที่เจอคุณ....เป็นความสุขหรือป่าวและความสุขนี้ซื้อได้ด้วยเงินหรือป่าว........คุณคิดว่าคุณย่าจะมีเวลาให้คุณตักตวงบุญกับท่านนานแค่ไหน



คุณอยากพ้นทุกข์
หากคุณอยากจะพ้นทุกข์ พ้นทุกข์ได้ โดยไม่เฉพาะแต่เรื่องนี้
คือ พ้นจากความเห็นแก่ตัว
ที่คนเราทุกข์กัยอยู่ทุกๆวันนี้ ก็เพราะ ความเห็นแก่ตัว ของตนเองนั่นแหละ
การทำความดี ไม่ใช่การทำตามรูปแบบ หรือ ทำเพื่อหวังผล เพราะนั่นไม่ใช่ความดี เป็นเพียงความคิดว่า ดี เท่านั้น
หากคุณทำดี จริงๆ คุณก็จะได้ผลที่ดี แน่นอน
ทำดี ต้องทำให้ทน ทำให้นาน ทำให้จริง
และสิ่งที่สำคัญ นั่นแหละคือ การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง
การทำดี ทำให้ เราได้รู้จัก ขัดใจ ที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง
การขัดใจ คือ การทำความสะอาดใจ โดยไม่ตามใจ ตามความอยากของเราเอง
ความงาม คือ สิ่งที่ไม่มีตำหนิ
เมื่อเรารับรู้ถึงความงาม ใจเราก็งาม
เมื่อเรารับรู้ถึงความงาม เราก็มีความสุข
ความจริงแล้ว ใจที่งาม ถึงจะรับรู้ถึงความงามได้ และมีความสุข


เท่าที่อ่านมารู้สึกว่าคุณจะมองแต่ในด้านลบของท่านนะ คนเรามีสองด้านเสมอ
ลองมองในด้านบวกของท่านดูซิ นั่งหลับตาลงซักพัก แล้วคิดถึงสิ่งดีดี ที่ย่าได้ให้กับคุณในอดีตที่ผ่านมา (อาจน้ำตาไหลนะ ^_^)

แล้วคุณจะรู้ว่าที่คุณกำลังดูแลท่านอยู่ขณะนี้ อาจจะยังทำได้ไม่ดีพอเสียด้วยซ้ำ

ปล.อย่าทิ้งท่านนะ


หนูอยากพ้นทุกข์คะ ขอคุยด้วยคนนะคะ ได้อ่านเรื่องราวที่เป็นทุกข์ของหนูแล้วพอจะแยกวิเคราะห์ความทุกข์ของหนูได้ดังนี้
1. เบื่อ ที่ต้องดูแลย่า ย่าไม่เคยดีกับหนูทั้งที่หนูดูแลย่ามากที่สุด มากกว่าลูกแม้ ๆบางครั้งที่หนูคิดว่าจะไม่ดูแลย่าแต่หนูก็ทำไม่ได้ สงสารย่าและทิ้งย่าไปไม่ได้
2. หนูต้องช่วยพ่อแม่ดูแลสวน ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวเพราะหนูเป็นลูกคนโต
3. หนูจะต้องเรียนหนังสือซึ่งเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่งของชีวิต
4. หนูรู้สึกว่าสิ่งที่เสียสละทำไปดูเหมือนว่าเป็นความดีที่ดูเหมือนไม่พอเพียง
ถ้านำปัญหาทั้งหมดมารวมกันดูแล้วก็น่าจะเป็นสาเหตุให้ทุกข์มาก แต่ถ้าแยกเป็นข้อ ๆมันก็ไม่หนักหนาอะไร พอทนได้ คนอื่นที่เขาขาดหลาย ๆ อย่างกว่านี้เขายังทนได้ ถ้าให้เขาเลือกเขาอาจอยากจะมีโอกาสอย่างหนูแทบขาดใจเลยทีเดียว ที่มีทั้งพ่อ แม่ ย่า น้อง มีสวนให้ดู มีโอกาสได้เรียนหนังสือ
ปีนี้หนูอายุ 24 มีภาระที่ต้องรับผิดชอบทีต้องทำให้ดีทั้งการเรียน ช่วยพ่อแม่ดูแลกิจการของครอบครัว และช่วยดูแลย่าซึ่งแก่ชรามากและสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก หนูควรภูมิใจในตนเองนะคะ เชื่อว่าคุณพ่อและคุณแม่ของหนูก็คงรู้สึกภูมิใจหนูอยู่ในใจเหมือนกันเพียงแต่ท่านมิได้พูดออกมาเป็นคำพูดเท่านั้น สำหรับคุณย่า เนื่องจากท่านก็มีความทุกข์เกี่ยวกับความเจ็บป่วยและร่างกายที่ชราของท่านท่านจึงไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านก็แสดงออกด้วยความห่วงใยโดยการดูแลสิ่งอื่น ๆให้หนู และท่านทั้ง 3 คือ พ่อ แม่ ย่าอาจจะยังไม่รู้หรือทันคิดด้วยซ้ำไปว่า ตอนนี้หนูก็รู้สึกน้อยใจ เป็นเหมือนกันแล้วนะ
ปีนี้หนูอายุ 24 ปีหน้าหนูอายุ25 ปีโน้นหนูอายุ 26 อนาคตที่ดี รอหนูอยู่แน่นอนถ้าวันนี้หนูทำวันนี้ดี มีความแข็งแกร่งในจิตใจ หนูจะสามารถต่อสู้ปัญหาต่าง ๆที่จะก้าวเข้ามาได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ขอแต่เพียงให้หนูไม่ทิ้งจากธรรมะเท่านั้น มีข้อคิดของท่าน ว.วชิรเมธี ชื่อ " คิดบวก ชีวิตบวก" ขออนุญาตท่านนำบางตอนมากล่าว ณ ที่นี้นะคะ
เวลาเจองานหนัก ให้บอกกับตนเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมความพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกกับตนเองว่า นี่คือบทเรียนที่สร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกกับตนเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
และเคยอ่านพบประโยคหนึ่ง ในหนังสือเรื่อง "ถึงชีวิตจะสูญเสีย แต่อย่าให้ใจเสียศูนย์" ของ ท่านชุติปัญโญว่า " วันที่ฟ้ามืดที่สุดจึงจะมองเห็นดวงดาว" เปรียบเหมือนตัวของหนูในวันนี้ซึ่งอยู่ในสิ่งที่หนูคิดว่าเป็นความทุกข์หนูจึงมองเห็นทุกข์

อยากพ้นทุกข์ เหมือนเชื่อที่หนูตั้งขึ้น หนูต้องเลิกคิดน้อยใจ พ่อ แม่ ย่า เลิกน้อยใจตัวเอง ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ไหว้พระ สวดมนต์ ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำความดีให้มากยิ่งขึ้น แล้วหนูจะพ้นจากใจที่ทุกข์ ถูกวิธี มีชีวีสดใสค่ะ ขอให้ธรรมะคุ้มครองหนู ปรารถนาดีค่ะ



มีเวปธรรมะมานำเสนอครับ ฟังแล้วรู้สึกดีอ่ะเลยเอามาฝาก
www.FM9525radio.org ลองฟังกันน่ะครับเพื่อจะติดใจ


การสงเคราะห์ญาติ เป็นมงคลข้อหนึ่ง ในมงคล ๓๘ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ (ข้อที่ ๑๗)

เมื่อเป็นมงคล เป็นความดีที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ เหตุใดผู้ประพฤติปฏิบัติจึงเป็นทุกข์ เป็นกังวล เหตุก็เพราะความคิดผิด เข้าใจผิด ความเห็นผิด ความน้อยเนื้อต่ำใจ

เมื่อเปลี่ยนความคิดที่ผิดให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ความเข้าใจผิด น้อยเนื้อต่ำใจย่อมหายไป เป็นความเต็มใจที่จะปฏิบัติ มีความสุขใจ ความบันเทิงใจ มองไปข้างหน้าว่า คำตรัสสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่มีผิด ถูกต้องเที่ยงแท้แน่นอน

สิ่งที่เราทำนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ยาก เป็นสิ่งพระพุทธเจ้าทรงยกย่อง เป็นความดี เป็นความกตัญญูกตเวทิตา เป็นมงคลสูงยิ่งสำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติ อย่าได้ท้อแท้เน้นเหนื่อยต่อการกระทำดี การกระทำที่เป็นมงคลนี้

เจริญธรรม




เคยฟังเพลงสาวสาวสาวไหมค่ะที่ร้องว่า
......ฉันเจ็บฉันเหนื่อยฉันเพลีย........ฉันเพลียฉันเหงาเศร้าใจ
......ฉันกลัวฉันนอนร้องไห้...........หนทางอีกไกลฉันฝ่าฝัน
......ฉันล้มฉันเหลียวหาแม่...........ฉันแคร์ค่าความผูกพัน
......ฉันเจ็บมีใครปลอบขวัญ.......ฉันซมฉันซานสิ้นแรง
ฟ้ากว้าง ทางไกล ฉันจะไปทางไหน ทางซ้ายหรือทางขวา
......ฉันหนาวฉันอยากมีบ้าน อ่อนหวานมีรักพักใจ
......ฝนตกฟ้าร้องก้องไป ขอเพียงมีใครปลอบโยน.........


คุณอยากจะคิดว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน แต่เรากำลังจะบอกว่าคุณกำลังเอาความเบื่อของคุณเองมาปนกับความรู้สึกดีดีที่คุณกระทำ
คุณอาจกำลังน้อยใจใคร.....อะไร.....หรือกำลังรู้สึกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ ทำให้คุณมีความรู้สึกว่าอะไรก็คุณ.....ทำไมต้องเป็นคุณ.....
คุณอาจจะรู้สึกว่าทำไมต้องเกิดก่อน
ทำไมต้องเสียสละให้น้องได้เรียน
ทำไมต้องอยู่บ้านคอยดูและบ้าน
ทำไมต้องคอยอยู่ทำงานที่บ้านแถมยังต้องดูแลคนในบ้านซึ่งอาจมากกว่าปู่กับย่า
.......บอกคุณก่อนว่าไม่มีใครทำอะไรได้ทุกอย่างอย่างที่ใจคิดหรอกนะคะ.........
ถ้าคุณรู้สึกน้อยใจว่าทำไมต้องเกิดก่อนมาเสียสละให้น้องได้เรียนจบก่อน
ให้คุณคิดว่าการให้อิ่มใจกว่าการรับ
ถ้าคุณรู้สึกว่าภาระในการดูแลใครสักคนทำไมต้องมาอยู่ที่เรา เวลาไปไหนทำอะไรทำไมต้องมีคนคอยมาจู้จี้
ให้คิดเสียว่าคุณมีคนให้ดูแลสักคน....ดีกว่าไม่มีใครเลย
คุณมีใครคอยบ่นวุ่นวายกับชีวิต....ก็เป็นคิดเป็นบวกว่า ถ้าเขาไม่รักเขาจะไม่บ่นเขาจะไม่สนใจ
..........................เชื่อสิคะว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม จริงๆแล้วคุณเป็นคนมีจิตใจดี
ขออนุโมทนาด้วย แต่ตอนนี้คุณอาจต้องการเติมไฟให้ตัวเอง ลองยิ้มให้กระจกทุกครั้งที่คุณรู้สึกไม่เบิกบาน คุณจะรู้ว่ารอยยิ้มของคุณสวยบาดใจตัวเองขนาดไหน..............
ขอเป็นกำลังใจให้คุณชนะใจตัวเอง และโมหะที่กำลังครอบงำ
.............................เราเชื่อว่าคุณทำได้.........................................


สวัสดีค่ะ ขอมอบคติเตือนตนให้คุณอยากพ้นทุกข์

หวัว่าคงมีประโยขน์น่ะเจ้าค่ะ

1. อย่าเชื่อหรือยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินมากนัก

ทุกอย่างที่กระทบอายาตนะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางความคิด ล้วนเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการเกิดดับและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะต้องเหมือนเดิม ก็เท่ากับว่าเราพยายามจะฝืนกฎธรรมชาติซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์อย่างแน่นอน

2. หนทางในโลกนี้ยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไรเร็วนัก

ฉะนั้น เวลาเจอเรื่องสมหวัง เราก็จะไม่ควรลิงโลดใจจนเกินไป หรือเวลาเจอเรื่องที่ผิดหวังเราก็จะไม่จำเป็นต้องเศร้าโศกจนเกินไปนัก เพราะถ้าเราสร้างเหตุและปัจจัยใหม่ ผลก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าเราพยายามสร้างเหตุปัจจัยที่ดี เราก็ย่อมประสบความสำเร็จได้ต่อไปเรื่อย ๆ

3. จงฉลาดที่จะเลิกคบคน

ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของคนที่เราคบหาสมาคมด้วยจะต้องกระทบกระเทือนสภาวะทางอารมณ์ของเราไม่มากก็น้อย ฉะนั้น เราจึงควรเลือกคบคนที่มีคุณธรรมสูงหรือเท่า ๆ กับเราไว้เป็นคนวงใน ส่วนคนอื่น ๆ ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันก็ให้เราแสดงความเป็นมิตรและให้ความช่วยเหลือตามปกติ

4. การทำความดีเป็นสิ่งที่ต้องฝืน

ความคิดทางลบที่ผุดขึ้นมาในใจล้วนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เราไม่ควรให้ความสลักสำคัญกับมันมากนัก แต่ให้เลือกว่าเราจะหยิบเรื่องอะไรขึ้นมาคิดมากกว่า และการพยายามประคองจิตใจให้สบาย ๆ เป็นสิ่งที่ต้องฝืนเพราะมันขัดกับธรรมชาติของสภาวะจิตที่ไหลต่ำนั่นเอง

5. วันหนึ่ง ๆ ที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าเราจะทำงานได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่ขอให้แต่ละอย่างที่เราเลือกทำนั้นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลในระยะยาว

6. จงหมั่นสังเกตว่า ตอนนี้ความรู้สึกอยู่ที่ฐานไหน ฐานกาย ฐานอารมณ์ ฐานจิต หรือฐานธรรม

วิธีนี้จะเป็นวิธีดึงจิตออกจากความคิด เมื่อออกจากความคิดได้ก็จะหายทุกข์ทันที จิตจะได้รับการพักผ่อน มีพลัง และร่างกายจะแข็งแรง

ขอให้เจริญในธรรมเจ้าค่ะ



 4,177 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย