ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์

     

ทำอย่างไร คิดอย่างไรจึงจะอยู่ในสังคมที่มีแต่ความชิงดีชิงเด่น
ไร้น้ำใจ ทำไมมนุษย์มักจะทำร้ายกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เพื่อตัวเอง
ท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยค่ะ




ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์

คุณพอมืสิทธิ์จะจัดการกับตัวเองได้ แต่เสียเวลาปล่าวถ้าคิดจะให้คนอื่นเป็นแบบที่เราต้องการ

ใครจะไร้น้ำใจ ใครจะมีน้ำใจ คนเลวในวิญญาณมี นั่นคือ อกุศลาธรรมา แปลว่า อกุศลทั้งหลายก็เป็นพระธรรม เทพที่รักษาความยุติธรรมยังต้องถืออาวุธ สวรรค์ ยังรบกัน
เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดาๆ ท่านจึงมีคำสอนให้คบบัณฑิต อย่าคบคนพาล

คุณไปทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ได้ก่อน เลิกมองคนอื่นสักพัก....จบ


เป็นปฏิจจสมุบาททางสังคม การแก่ปัญหาดังกล่าวมิใช่อยู่ที่เราเพียงผู้เดียวแล้วแบบ

นั้น

ส่วนตัวเราเพียงผู้เดียวแก้อะไรไม่ได้มากหรอก เพราะมันเป็นปัญหาสังคมของมนุษย์

โดยรวม เราเพียงแต่รู้ความจริงว่าเป็นอย่างนั้นๆเอง แล้วก็พิจารณาด้วยสติปัญญาว่า

สิ่งใดควรเข้าใกล้ สิ่งใดควรอยู่ห่างๆไว้เป็นการดี




สำหรับตัวของดิฉันเองนะคะ

อยู่ในสังคม วัน ๆ นึง พบคนตั้งมากมาย

บุคคลภายนอกที่แวะเวียนเข้ามา ได้สนทนา ได้พบกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวของพวกเขา ที่ไม่รู้ว่าอาการเริ่มมาจากที่ไหนอย่างไร


บุคคลภายใน ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ซึ่งคุ้มดีคุ้มร้าย เพราะส่วนคนที่สูงอายุแล้ว ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมให้สมวัย ที่ต้องนิ่ง ต้องเย็น แต่ท่านยังถืออารมณ์ของปุถุชน ที่มีวัยวุฒิ คุณวุฒิที่สูงกว่า จะต้องเหนือกว่าทุกคน จึงค่อนข้างเอาแต่ใจตนเอง ส่วนเพื่อน ๆ บางคนก็เจอปัญหาจากที่อื่น แล้วมาปล่อยให้เราได้พบได้เจอในที่ทำงาน


เราอาจจะคิดว่า ทำไมเราไปทำอะไรให้พวกเขา จึงต้องมาให้เรารับรู้สิ่งเหล่านั้น ไม่มีเกรงใจเราเลย เราเป็นคนดีนะ อะไรทำนองนั้น


ถ้าเราไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่าดีกว่าคนอื่น คนอื่นต้องเกรงใจเรา เราก็จะมองเห็นว่า ทุกคนเขาก็ต้องมองแต่ความรู้สึกของตัวเองเป็นสำคัญ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตใจให้ยึดมั่นความดีงาม ไม่นำทุกข์ให้แก่ผู้ใดเป็นการสร้างบาปกรรมทางจิตใจนั่นเอง


ดิฉันจึงมองมาที่จิตใจของตนเอง ว่า วันนี้เราเจออารมณ์ร้ายของใครเข้ามา แล้วเราผ่านเหตุการณ์นั้นมาและรับมาเป็นอารมณ์ขุ่นเคืองหรือไม่ ถ้าเราไม่มีขึ้งโกรธผู้ใด แสดงว่า เราผ่านบททดสอบทางด้านอารมณ์ในระดับหนึ่ง และบางทีเหตุการณ์ร้ายได้จบลงที่เรา โดยเราเป็นผู้คลี่คลายอารมณ์ของคนเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้ กลับเป็นว่าเรารู้สึกภูมิใจ ที่ได้ทำให้เขาเหล่านั้นหายทุกข์ที่เขาเป็นอยู่ ปลดปล่อยอารมณ์ให้สิ้นสุดลง ณ บัดนั้น คือว่าเขาร้อนมา เราเอาความเย็นเข้าลูบ เขาหยุดความร้อนลงแค่นั้นไม่ไปต่อที่คนอื่น คุณว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งไหมละคะ


คิดอย่างที่ดิฉัน ที่ว่า เป็นบททดสอบอารมณ์ของเรา ลองดูนะคะ ใช้เมตตาธรรมให้มาก ใจเราเป็นสุขเองค่ะ ไม่มีใครรับรู้เท่าตัวเราเองนะคะ ขอเป็นกำลังใจค่ะ


อย่ามองเขา ให้มองที่เราค่ะ
ถ้าเหนื่อยก็หลับตา แล้วหายใจลึก ๆ
คิดไว้เสมอว่ามันเป็นเช่นนี้เสมอ
.......เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป........
อย่าเอาตัวเราไปผูกไว้กับคนอื่น (ถ้าเขาทำให้เราทุกข์เราต้องทุกข์ ถ้าเขาทำให้เราสุขเราก็สุข) บางครั้งอยู่ในสังคมมันยากเหลือเกินกับการห้ามใจไม่ให้คิดว่้าใครจะว่าเราไม่ดี ใครจะไม่ชอบเรา ใครเขาก็เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ใครก็เอาผลงานไปเอาผลร้ายมาให้เรา.................อย่านี้อาจจะเป็นการคิดในแง่ลบสักหน่อย .......
ขอให้คิดว่าทุกอย่างเป็นบททดสอบของชีวิต ลองไปวัดนั่งนิ่งๆมองพระพุทธรูปดูสิคะ คุณจะเห็นว่าท่านมองมาด้วยความเมตตาเสมอ
....................ขอให้คุณเมตตาตัวเองอย่าให้ใครมาบงการความสุขหรือทุกข์ได้
ใครเขาจะทำอย่างไรก็ช่างเขา เราจะทำอย่างที่เราทำและต้องเป็นสิ่งที่ดี

ขอให้ธรรมะอยู่ในใจคุณและเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ลองหลับตานั่งนิ่งๆแล้วยิ้มนิดนิดด้วยนะคะ คุณจะรู้ถึงความโปร่งเบาภายในใจอย่างไม่เคยมาก่อน

......................สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดก็ไม่เกิดปัญญา..........................

เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา
จงเลือกเอาสิ่งดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย

ลองเอาคำพูดของท่านพุทธทาสไปพิจารณาดูนะคะ




.. ก่อนอื่นมองที่ตัวเราว่า.. เราเข้ามาคลุกคลีในสังคมด้วยจุดประสงค์อย่างไร เราหวังสิ่งใดจากสังคมนั้น เงิน ตำแหน่ง การยอมรับความสามารถของเราใช่หรือไม่ สิ่งต่างๆ เหล่านั้น มีลักษณะที่มองเห็นได้คือความภูมิใจในขณะที่ได้เป็นอยู่ ตามมาด้วยความสบายกาย เช่นเมื่อได้เงินมาแล้ว ก็สามารถใช้ซื้อข้าวของสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้สึกมีความสุข มีตำแหน่ง ก็รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่คุยกับคนรอบข้างว่า มีความสามารถ เป็นที่ชื่นชมเฉพาะหน้ากับคนที่ได้รับฟังเรื่องตำแหน่งของเรา.. ในขณะเดียวกัน เงิน ตำแหน่ง และการยอมรับความสามารถของเรา ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนที่เข้ามาอยู่ในสังคมเดียวกับเราเหมือนกัน แล้วทีนี้ คุณจะแก้ไขพวกเค๊า หรือจะแก้ไขที่ตัวคุณกันล่ะ.. แต่ไปตามแก้ปัญหากับคนเหล่านั้นก็มากมายนับไม่ถ้วนเลย.. แค่คิดขึ้นมาก็ร้อนใจ ปวดหัวแล้ว ที่ต้องมานั่งแก้คนนั้น คนนี้ แล้วก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า จะแก้ได้หรือเปล่าด้วย.. ในทางตรงกันข้าม ถ้าแก้ที่ตัวคุณล่ะ เริ่มจากลองพิจารณาตัวเองก่อน.. แล้วค่อยหาวิธีตรวจสอบความเป็นไปของความรู้สึกนึกคิดของเรา.. หรือทางธรรมมะเรียกว่า การรู้จักตัวเอง วิธีนี้อาจช่วยให้คุณมองตัวเองทะลุไปสู่คนอื่นได้ไม่ยาก และอาจสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาการเผชิญเรื่องต่างๆ อย่างไม่ทุกข์ใจเลย..ก็เป็นได้.. ที่พึ่งทางธรรมมะคือหนังสือธรรมมะ เช่นพระไตรปิฏกนั้น สามารถใช้แก้ปัญหาให้ตัวคุณเอง เหมือนหนังสือสอนฝึกโยคะเลย.. อาจจะอ่านยากสักหน่อย แต่คงพอๆ กับการพยายามเลียนแบบท่าโยคะจากภาพนั่นแหละ.. ถ้าลองดู..


โคลนเกิดจากน้ำ ก็ใช้น้ำนั่นแหละล้างโคลน
ทุกข์เกิดที่ใจ ก็ใช่ใจนั่นแหละดับทุกข์
แค่เปลี่ยนมุมมองความเห็นไปในทางบวกเท่านั้น


ดอกบัวเกิดจากโคลนใต้นํ้าขึ้นมาบานอยู่เหนือนํ้าได้ฉันใด
ถ้าจิตใจเราสามารถผ่านสิ่งที่เปียบประดุจโคลนตมมาได้
จิตใจเราก็เหมือนดอกบัวที่พ้นนํ้าฉันนั้น ขอเพียงเรา
อย่าได้ทำจิตใจเราเศ้ราหมองไปกับสังคมรอบข้างที่เป็นอยู่
ให้ดูแต่ใจเราไม่ให้คล้อยตามแค่ดูเฉยๆไม่คิดต่อเติมเสิรมแต่ง
แล้วตั้งสติหันมาดูแค่กายและจิตของเราดีกว่า
ถ้าพูดสั้นๆ อย่าคิดมาก


ตอนนี้ฉันโดนเพื่อนที่ทำงานเเกล้ง ทนไม่ไหวจึงต้องลาออก ทุกที่ ออกมา4 บริษัทแล้ว ท้อใจมากทำไรเขาไม่ได้ ได้แต่ร้องให้กลับมาห้อง ตื่นเฃ้าไปทำงานใหม่ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้างในฉันเจ็บ มองหน้ากันทุกวัน ยิ้มให้กันทุกวันแต่ลับหลังเขาแกล้งเรื่องงาน นิทาน ใส่ร้าย ฉันก็เฉย ปล่อยวาง สุดท้ายคือผู้แพ้ ถอยหลังออกมา มันไม่คุ้มกับค่าเเรงวันละ250บาท แต่ต้องเอาเงินไปหาหมอทุกเดือน โรคเครียด ไมเกรน สุดท้ายโรคกระเพาะ มีของแถมอีคือกล้ามเนื้อหัวไหล่อักเสบเรื้อรัง ฉันพยายามปลงกับชีวิต ดูแล้วชีวิตนี้ไม่มีไรดีขึ้นสักนิดเลย ถ้าไม่ติดต้องเลี้ยงดูพ่อแม่นะป่านนี้ฉันคงตัดช่องน้อยพอตัวไปนานเเล้ว


ทุกข์เกิดจากใจที่เฝ้าคิด เก็บเอาความรู้สึกที่ เป็นความโลภ โกรธ หลง มาไว้กับใจ ลองปล่อยวางความคิดเหล่านั้นสิคะ จะรู้สึกสบาย ทุกอย่างเกิดเป็นคู่เสมอแต่มองไม่เห็นอะไรเลย เกิด-ดับ สุข-ทุกข์ รัก/ชัง มีตัวตนมั๊ย ไม่มี ไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ มีขึ้นแล้วหายไปเสมอ


ฝาก บทปลงสังขาร ให้พิจารณานะคะ

มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม นิพพานมีสุข
อยู่ใยมิไป ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้
ฉันไปไม่ได้ ตัณหาผูกพัน ห่วงนั้นพันผูก
ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นภพสาม ยามหนุ่มสาวน้อย
หน้าตาแช่มช้อย งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยาน
แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอ็นน้อยเก้าพัน
มันมาทำเข็ญใจ ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว
ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตาก็มัว เส้นผมบนหัว
ดำแล้วกลับหงอก หน้าตาเว้าวอก ดูน่าบัดสี
จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย
ไม่มีเกสร จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา
พระอนิจจัง พระอนัตตา เราท่านเกิดมา
รังแต่จะตาย ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน
เงินทองทั้งนั้น มิติดตัวเรา ตายไปเป็นผี
ลูกเมียผัวรัก เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี
เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง เขาหามเอาไป
Vao day nghe bai nay di ban http://nhatquanglan.xlphp.net/



Vao day nghe bai nay di ban http://nhatquanglan.xlphp.net/



เขาวางลงไว้ เขานั่งร้องไห้ แล้วกลับคืนมา
อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว เหลียวไม่เห็นใคร
เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา
ยื้อแย่งกันกิน ดูน่าสมเพช กระดูกกูเอ๋ย
เรี่ยรายแผ่นดิน แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร
เที่ยงคืนสงัด ตื่นขึ้นมินาน ไม่เห็นลูกหลาน
พี่น้องเผ่าพันธุ์ เห็นแต่นกเค้า จับเจ่าเรียงกัน
เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวัญ เห็นแต่ฝูงผี
ร้องไห้หากัน มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย
ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ ค้ำจุนเอาไว้
จะได้ไปสวรรค์ จะได้ทันพระเจ้า จะได้เข้าพระนิพพาน
อะหัง วันทามิ สัพพะโส อะหัง วันทามิ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุฯ


 3,964 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย