มีปัญหาเรื่องการนั่งสมาธิคะ อาจารย์ผู้รู้ช่วยตอบด้วยนะคะ

     

เวลาที่นั่งสมาธิ ทำไมรู้สึกตึงๆ ที่หน้าฝาก บริเวณตรงกลางระหว่างคิ้วคะ ถามใครก็ไม่เคยได้คำตอบที่ดีสักครั้ง คือตัวของหนูเองในสายตาของผู้ที่เขาอยู่ในวงการพุทธศาสนาที่หนูเข้าไปเขาจะมองว่าเราก็ยังเด็กมั้ง เลยได้คำตอบที่ออกจะดูถูกเราบ้างว่าเราอ่านหนังสือมาบอกหรือเปล่า บอกว่าปรุงแต่งมั่งละ แบบว่าไม่ค่อยจะเชื่อ หนูก็อยากรู้ว่าไอ้อาการที่หนูเป็น มันมีในหนังสือด้วยหรือคะ ถ้ามีหนูจะได้ไปอ่านมั้ง จะได้รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือทำผิด แล้วไอ้ที่เป็นอยู่มันดีหรือไม่ดี มันถูกหรือผิดทาง แบบว่าหนูตั้งใจนะเนี่ย แต่กลับตอบกันแบบขำๆ หนูก็ไม่ได้ติดใจอะไรหรอกคะที่เล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้คิดว่าเราทำเล่นๆ เหตุที่ตั้งใจและสนใจในการนั่นสมาธิเพราะว่าหนูอยากเป็นคนที่มีเมตตา อยากเป็นคนที่มีบุญมาก จะได้แบ่งบุญของเราให้คนอื่นๆ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อขอบุญจากใคร หนูศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า และไม่ใช่เพียงเชื่อเพราะอ่านหรือฟังมา แต่เชื่อเพราะได้ลองปฏิบัติ เรามีเมตตาขึ้นได้จริงๆ ใครว่าอะไรก็ไม่แสดงอาการโกรธ สงสารผู้อื่นมากขึ้น แม้แต่คนที่ทำร้ายเรา ไม่คิดอยากจะอิจฉาใคร มีแต่ยินดีกับเขาเมื่อเขาดีขึ้นกว่าเรา และสิ่งนี้ทำให้เรามีความสุขได้ทุกวัน วันไหนยิ่งได้ทำบุญก็ยิ่งมีความสุข เหมือนมีพลัง คนที่อยู่ใกล้เราเขาก็มีความสุขเราก็ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย ตอนนี้ก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็สุขคะ ^^
เข้าเรื่องดีกว่าเดี๋ยวจะเบื่อกันนะคะ หนูต้องขอเท้าความการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าน่าจะมีผลต่อการวิเคราะห์ของผู้รู้ผู้ปฏิบัติ และผู้มีเมตตาจิตที่จะตอบคำถามของหนูเพื่อไม่ให้เขาลำบากในการวิเคราะห์ หลายปีก่อนตอนอยู่มัธยมต้นหนูเคยได้ไปบวชที่วัดของหลวงพ่อจรัญ (เขียนชื่ออ้างจะเป็นไรไหมคะ ถ้าไม่ดีขอโทษนะคะ) วันนั้นคนแน่นมากเพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่ หนูต้องไปนั่งอยู่ในห้องเก็บของคนเดียวเพราะไม่มีที่จะนั่น แต่ยังได้ยินเสียงหลวงพ่ออยู่นะคะ เราก็เริ่มนั่นสมาธิฟังหลวงพ่อ วันนั้นเป็นวันแรกที่หนูนั่งได้ 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยไม่ขยับเลย ตอนแรกนั่นไปก็สงบดี นั่งไปสักพักหนูก็รู้สึกปวดขามาก ปวดไปถึงกระดูดเหมือนกระดูดจะแตกเลยคะ แต่ก็คิดถึงคำสอนของหลวงพ่อได้ว่า “ไม่เคยมีใครตายเพราะธรรมฐาน” เราเลยลุยสู้ตาย นั่งแบบไม่สนใจใยดีกับขาที่ปวด พอสักพักขาที่รู้สึกปวดก็เหมือนจะเป็นน้ำแข็งแล้วก็แตกออกรู้สึกสบายมากเลยคะ ตัวเบามากเลยรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แล้วน้ำตาก็ไหลเพราะความสุขนั้น ต่อมาก็ได้มีโอการไปนั่งที่วัดหินกอง ก็นั่งได้ 3 ชั่งโมงครึ่งอีก อาการก็เป็นเหมือนเดิมอีก จากนั้นก็ไปเดินจงกรมที่วัดสังฆทาน ก็รู้สึกเบาสบายมีความสุขแบบกลั้นไม่อยู่น้ำตาไหลอีกแล้ว แต่มีความสุขจริงๆ นะคะ แต่ตอนที่เดินไม่ได้กำหนดหรือเพ่งไปที่เท้า ปลอดใจสบายๆ แค่รู้ตัวว่าเดินอยู่เท่านั้น มันเบา หลังจากนั้นก็เริ่มมานั่นเองที่บ้าน มีอยู่คืนหนึ่ง (แต่หนูนั่งได้วันละไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงนะคะ เฉลี่ยแล้วประมาณวันละ 45 นาทีเป็นส่วนใหญ่) แต่ตอนนี้นั่งน้อยลงแล้วเพราะมีผู้ใหญ่ รวมทั้งคุณแม่เรา บอกว่าไม่ให้นั่งนาน เดี๋ยวเป็นโรคจิต เดี๋ยวจะประสาทมั่ง บอกว่าเราจะเร่งทำไมของอย่างนี้ต้องคนมีบุญมากพอทำมากเดี๋ยวเป็นโรคประสาทหรอก เพราะเขาบอกว่าเคยมีคนนั่งนานแล้วบ้าไปเลย ในใจหนูไม่เชื่อหรอก และหนูก็ไม่ได้เร่งอะไร ทำแบบสบายๆ อย่างที่ใจอยากทำ ไม่ได้ฝืนใจหรือบังคับใจตัวเองเลย แต่ไม่เถียงผู้ใหญ่ก็ฟังเอาไว้ เพราะเขาก็หวังดีกับเรา หนูคิดว่าคนที่นั่งแล้วบ้าต้องทำอะไรผิด เช่นศีลหรือผิดคำพูดอะไรสักอย่างที่เขาอธิฐานไว้ก่อนปฏิบัติ หรืออาจจะคิดอะไรไม่ดีนอกรีดก็ได้นะคะหนูก็ไม่ทราบ แต่ใจหนูก็ไม่คิดว่านั่งแล้วจะทำให้บ้าหรอกนะคะ หนูว่าการนั่งสมาธิกลับทำให้มีสมาธิมากขึ้นซะอีก ท่องศัพท์จำได้เยอะขึ้นอีกด้วยนะคะ (รู้งี้นั่งนานแล้วละจะได้เรียนเก่งๆ ^^ ) และมีเมตตามากขึ้น เห็นใจผู้อื่นมากขึ้น แต่หนูว่ามันยังไม่มากพอ บางครั้งก็ต้องแอบนั่งนะคะ บางทีเขาถามว่านั่งได้กี่นาทีเราก็ต้องตอบแบบโกหกว่าไม่กี่นาทีหรอก กลัวเขาหาว่าบ้าหนะ (แปลกเนอะทำดีก็ต้องกลัวอีก)
เดี๋ยวนี้นะคะหนูไม่ได้ภาวนาคำว่า พุทธ โธ แล้วคะ เพราะตอนที่เราดูลมหายใจ (หนูใช้คำว่าดูจริงๆ ไม่ได้ตามลมหายใจ) เหมือนว่าลมหายใจละเอียดขึ้น มากๆ จนหนูรู้สึกว่าตอนที่หายใจออกมันเริ่มยาวขึ้น นานขึ้น จนไม่รู้สึกว่าหายใจเลยคะ เงียบไปเลย หนูก็เลยไม่ได้ภาวนาไงคะ ^^ หนูก็แปลกใจเหมือนกันแต่ก็นั่งไปเรื่อยๆ ครั่งต่อไปหนูก็รู้สึกแบบเดิมแต่หนูก็เลยเพ่งไปตรงกลางเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกว่าถ้าไม่รู้จะเอาอะไรยึดจิตแล้ว ก็ให้เพ่งไปตรงกลางไกลๆ หนูก็ทำ และสักพักก็รู้สึกตึงๆ ที่หน้าฝาก บริเวณตรงกลางระหว่างคิ้วคะ มันจะเริ่มเกิดขึ้นจากบริเวณรอบๆ สันจมูกแล้วเลื่อนไปรวมที่บริเวณตรงกลางระหว่างคิ้ว บางครั่งก็รู้สึกตึงเฉยๆ บางครั้งก็รู้สึกว่ามันเริ่มเล็กลง และขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันเหมือนตึงมากขึ้นหรืออะไรสักอย่างที่จะลึกลงไปตรงกลางนั้น แต่หนูไม่ได้รูสึกปวดหัวนะ ก็โอเคดี ไม่ได้สุขมากจนร้องไหออกมา แบบว่ารู้สึกเฉยๆ เรื่อยๆคะ แต่ก็ไม่รู้สึกรำคาญหรือ หงุดหงิดเลย ใช้คำว่าอะไรดีละ หนูใช้คำว่าปกติแล้วกันคะ จากนั้นหนูก็เลยไปเพ่งที่ตรงนั้น มันเหมือนมีลักษณะเป็นคลื่นวงๆ รอบจุดกึ่งกลางที่เพ่งลงไป แล้วเราก็ส่งคลื่นนั้นออกไปรวมกับที่จุดๆหนึ่ง ลักษณะเหมือนคลื่นน้ำเวลาที่เรา เอานิ้วแตะที่ผิวน้ำและมันจะเกิดคลื่นกระจายออกไปเป็นวง แต่คลื่นของหนูต่างออกไปตรงที่มันเป็นคลื่นที่รวมเข้าหาจุดศูนย์กลางที่เราเพ่งนะคะ คนที่บอกว่าหนูคิดปรุงแต่งหนะเขาถามว่าเหมือนว่าหัวของเราสว่างจ้าเลยใช่ไหม หนูก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะหนูไม่ได้มองเห็นหัวตัวเองเลยไม่รู้ว่ามันสว่างหรือเปล่า หนูเพียงแค่มองไปข้างหน้า แล้วเห็นแสงเป็นกลุ่ม อืม.. ลักษณะเหมือนดอกกระถินที่บานแล้ว แต่มันก็ไม่ได้สว่างจ้าอะไรขนาดนั้น แต่มันก็สว่างบ้างแต่ไม่ชัดเจนนะคะ ประมาณนั้น หนูตอบตามความจริง เขาบอกว่าทั้งหมดนี่มาจากหนังสือทั้งนั้น หนูถามว่าเล่มไหนละคะ เขาก็บอกว่ามีทั่วไป ถ้ามีทั่วไปแล้วทำไมไม่มีใครตอบได้ละว่าที่มันตึงๆ เพราะอะไร เขาบอกแต่ว่าอย่าไปปรุงแต่ง แล้วเขาก็หัวเราะแบบว่าหนูคิดไปเอง หนูก็บอกได้แต่คำว่า “คะ” และ “ขอบคุณคะ” แต่ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี
หนูเป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้วคะ และเป็นทุกครั้งที่นั่งด้วย ตอนนี้หนูก็กำลังเรียนพระสุตตันตปิฏก และก็วิสุทธิมรรค ด้วยนะคะ (เพิ่งเริ่มเรียนได้ 3 วันเองคะ) เพื่อว่ามันจะมีคำตอบให้บ้าง หนูทราบดีว่าเราไม่ควรสนใจมันอย่าไปยึดติดกับมัน แต่หนูอยากทราบว่าอาการนี้เรียกว่าอะไร และที่สำคัญหนูมาถูกทางหรือเปล่า และหนูจะพัฒนาจิตให้มีเมตตาสูงขึ้น และเจริญปัญญาหาทางดับทุกข์ได้ด้วยวิธีนี้หรืเปล่าคะ อ้อ หนูลืมบอกว่าตอนนี้เวลานั้นสมาธิหนูก็จะนั่งขัดสมาธิเพชรนะคะเพราะว่า ตอนที่นั่งแบบธรรมดา แบบขวาทับซ้ายมันไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดอะไรแล้วคะนั่งได้สบายเลย นั่งได้หลายชั่วโมงด้วย แบบว่านั่งโยกไปมาก็ไม่มี (ตอนแรกๆ ที่ฝึกใหม่ๆ ก็มีบาง แต่น้อยมาก แต่ตอนนี้ไม่เคยเป็นเลยคะ) หนูเลยรู้สึกว่ามันสบายมากไป หนูเห็นหลวงปู่สิมสอนให้นั่งขัดสมาธิเพชร ท่านบอกว่าดี พระพุทธเจ้าก็นั่งแบบนี้ (ขอไม่เขียนอธิบายนะคะมีในหนังสือของหลวงปูสิมคะ) สำหรับหนูรู้สึกว่าดีมากๆ เลยนะคะ แต่มันจะเจ็บกว่านั่งแบบธรรมดาในตอนแรกๆ และทำให้เราเข้าสมาธิได้เร็วมากขึ้นด้วยนะคะ เพราะทำให้หนูทราบว่า ถึงกายจะเจ็บแต่จิตของเราสบายมันแยกจากกันอย่างเห็นได้ชัดว่า มันไม่ได้เป็นส่วยหนึ่งส่วนใดกัน มันแยกกันอยู่จริงๆ แล้วความเจ็บก็จะหายไป ทำให้เรานั่งได้เป็นชั่วโมงๆ แบบว่าทรมารตัวเองเล็ก ไม่ให้สบายมากเกินไป คนที่เห็นก็ถามว่าทำไมถึงนั่งแบบนี้ เราก็บอกไปตามนั้น เขาก็บอกว่า ไม่เห็นจำเป็นเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าการทรมารตนไม่ใช่หนทางดับทุกข์ หนูก็ว่าคุณน้าคนนั้นเขาก็พูดถูกนะ แต่หนูว่าอันนั้นหมายถึงทรมารมากไปมั่ง การที่หนูนั่งแบบนี้ มันเป็นการสร้างอุบายอย่างหนึ่งของหนูเพื่อให้รู้ว่าจิตแยกออกจากกาย และมันทำให้จิตเป็นอิสระจากกายได้เร็วขึ้นคนเราไม่จำเป็นต้องมีวิธีที่เหมือนกันก็ได้ไม่ใช้หรือคะ เขาดูที่ผลที่ได้มากกว่ามั่ง แต่หนูก็ไม่ได้เถียงผู้ใหญ่ หนูก็พูดว่า “เหรอคะ” แต่ไม่ได้อธิบายอะไร เพราะเขาไม่ได้สนใจในผลที่เราได้ อธิบายไปก็ไม่จบ เพราะผู้ใหญ่บางคน อัตตาสูงมาก น่าสงสารนะคะ หนูก็ไม่ได้ไปว่าคนที่เขานั่งแบบปกติว่าไม่ดีนะ มันก็เป็นความถนัดของเขาจะให้เขาทำเหมือนเราได้ไง เขานั่งแบบนั้นอาจดีอยู่แล้วก็ได้ บางทีอาจได้อะไรมากกว่าเรา หรือค้นพบทางดับทุกข์ได้เร็วกว่าเราเป็นไหนๆ ก็ได้นิ เอาเป็นว่าวิธีนี้ถูกกับจริตของหนูก็แล้วกันนะคะ
มาเข้าเรื่องต่อดีกว่า ตอนนี้เวลานั่งหนูไม่ได้เริ่มที่การดูลมหายใจแล้วนะคะ แต่จะเริ่มส่งคลื่นที่ว่านี่ไปตรงกลางนั่นเลย คนที่เขาอ่านหนังสือมาหรือเรียนทฤษฎีมา เขาบอกว่าไม่ได้ต้องเริ่มจากขั้นหนึ่งทุกครั้งคือดูที่ลมหายใจก่อน คือหนูทำแล้วรู้สึกขัดใจคะ อยากไปตรงนั้นเลย นี่หนูทำผิดวิธีหรือเปล่าคะ หนูต้องเริ่มที่ลมหายใจก่อนทุกครั้ง ไปเพ่งตรงนั้นเลยไม่ได้เหรอคะ มันจะไม่ดีใช่หรือเปล่าคะ แล้วจริงๆ มันต้องทำไง อ๋อถึงเราไม่ไปเพ่งแบบส่งคลื่นที่หนูเขียนไว้ข้างต้น ปล่อยว่างๆ หน้าฝากก็ตึงอยู่ดีนะคะ ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่หน้าฝาก ไม่เห็นมีคนอื่นเขาเป็นเลย หนูทำผิดหรือเปล่าคะ ใครมีความรู้หรือเคยปฏิบัติมาช่วยบอกหนูหน่อยนะคะ ติดอยู่ตรงนี้นานแล้ว พอทำสมาธิได้ดีๆ ที่ไร ตึงที่หน้าผากทุกที มาคู่กันทุกครั้งเลยคะ
   




อาการตึงๆที่หน้าผากเกิดจาก 2 กรณี คือ 1 สมาธิมากเกินอินทรีย์อื่น 2 เกิดจากจิตไปยึดอาการนั้น


• "ศีลเป็นเครื่องสงบกายวาจา" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)

• ปฏิบัติธรรมวันสงกรานต์ แบบเจโตวิมุติ 12 - 15 เมษายน 2567 ณ ปัณฑิตารมย์สระบุรี

• สรุปเรื่องธรรมทาน

• ๒๓.ปางพระเกศธาตุ

• วัดวังผาแดง ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี

• เพลงกล่อมประสาท 🌿 ดนตรีบำบัดหัวใจและหลอดเลือด ผ่อนคลาย ดนตรีเพื่อจิตวิญญาณ

RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย