ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีประจำราชสำนักในเมืองพาราณสี
สมัยนั้นมีพ่อค้า ๒ คนคือพ่อค้าบ้านนอกกับพ่อค้าชาวเมืองเป็นเพื่อนสนิทกัน
วันหนึ่ง พ่อค้าบ้านนอกได้ฝากผาลไถเหล็กประมาณ
๕๐๐ อันไว้กับพ่อค้าชาวเมือง เมื่อถึงฤดูทำนาแล้วจะมารับคืน
พ่อค้าชาวเมืองคิดไม่ซื่อได้ขายผาลเหล็กทั้งหมดไปนำเงินมาใช้แล้วเอาขี้หนูมาโรยไว้บริเวณเก็บผาลเหล็กนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนถึงฤดูทำนาพ่อค้าบ้านนอกมาขอรับผาลเหล็กคืน
เขาจึงพูดด้วยเสียงละห้อยว่า " เพื่อนเอ๋ย
เราเสียใจจริงๆ ผาลเหล็กของท่านถูกหนูกินหมดแล้ว
ทิ้งแต่ขี้หนูไว้เป็นอนุสรณ์เท่านั้น แล้วเราจะทำอย่างไรละทีนี้
นั่นเห็นไหม " พร้อมกับชี้ให้ดูขี้หนู
พ่อค้าบ้านนอกคิดไม่ถึงว่าจะถูกเพื่อนโกงซึ่ง
ๆ หน้า จึงคิดหาวิธีแก้เผ็ดคืนได้อย่างหนึ่ง
ในเย็นของวันนั้นได้อาสาพาลูกชายของพ่อค้าชาวเมืองนั้นไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ
อาบน้ำเสร็จแล้วขากลับก็ได้แวะที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งพร้อมกับมอบเด็กฝากไว้กับเพื่อนคนนั้น
พูดกำชับว่า
" ท่านอย่าให้ใครเห็นเด็กคนนี้นะ
ใครจะมาขอรับคืนก็อย่าให้ไปเด็ดขาด นอกจากเราคนเดียวเท่านั้น
"
ว่าแล้วก็กลับไปบ้านพ่อค้าชาวเมืองพร้อมกับคร่ำครวญให้เขาฟังว่า
" เพื่อนเอ๋ย
เราขอแสดงความเสียใจต่อท่านจริงๆ
ลูกชายของท่านนะสิ ขณะที่เราลงเล่นน้ำในแม่น้ำ
เขานั่งอยู่ริมฝั่งน้ำ ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาไปกินเสียแล้ว
สุดปัญญาที่เราจะช่วยได้จริงๆละเพื่อน ทีนี้จะทำอย่างไรดีละ
" พ่อค้าชาวเมืองไม่เชื่อว่าเด็กที่โตขนาดนี้แล้วจะถูกเหยี่ยวโฉบเอาไปได้
ด้วยความโกรธจึงชี้หน้าพ่อค้าบ้านนอกพร้อมกับพูดว่า
" อ้ายโจรชั่ว
เจ้าต้องติดคุกแน่นอน
เราจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้า "
ว่าแล้วก็ไปแจ้งความ
พ่อค้าบ้านนอกก็พูดตอบว่า
" เชิญตามสบายเลยเพื่อน
จะเอาอย่างนั้นก็ได้ " แล้วก็เดินตามหลังเขาไป
ที่ศาล พ่อค้าชาวเมืองแจ้งความกับอำมาตย์โพธิสัตว์ว่า
" นายท่าน
พ่อค้าคนนี้นำลูกชายของผมไปอาบน้ำที่ท่าน้ำด้วย
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน กลับบอกผมว่าลูกชายผมถูกเหยี่ยวโฉบไปกินเสียแล้ว
มันจะเป็นไปได้อย่างไร เด็กโตขนาดนี้แล้ว
มันต้องฆ่าลูกชายผมแน่เลย "
อำมาตย์จึงถามพ่อค้าบ้านนอกว่า
" จริงหรือไม่
ที่ท่านนำเด็กไปอาบน้ำแล้วถูกเหยี่ยวโฉบเอาไปนะ
"
เขาตอบว่า
" เป็นความจริงครับท่าน
"
อำมาตย์ถามว่า
" ไม่น่าเชื่อที่เหยี่ยวจะโฉบเอาเด็กที่โตขนาดนี้ไปได้
"
เขาก็เรียนให้ทราบว่า
"นายท่าน
ถ้าเหยี่ยวไม่สามารถนำเด็กที่โตขนาดนี้บินไปได้
แล้วหนูจะสามารถกินผาลเหล็กไปได้อย่างไร "
พระโพธิสัตว์จึงถามว่า
"
นี่พ่อคุณ..มันเรื่องอะไรกันแน่ "
พ่อค้าบ้านนอกจึงเรียนให้ทราบว่า
" นายท่าน
ผมได้ฝากผาลเหล็กจำนวน ๕๐๐
อันไว้ที่บ้านพ่อค้าคนนี้ วันนี้ผมมาขอรับคืน
เขาบอกว่าหนูได้กินผาลเหล็กไปหมดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้
ถ้าหนูกินผาลเหล็กได้ เหยี่ยวก็สามารถนำเด็กไปได้เช่นกันละขอรับ
ถ้าหนูกินผาลเหล็กไม่ได้ เหยี่ยวก็ไม่สามารถนำเด็กไปได้ละขอรับ
ขอท่านจงตัดสินคดีด้วยเถิด "
อำมาตย์โพธิสัตว์พอทราบว่าพ่อค้าคนนี้กำลังแก้ลำพ่อค้าคนโกง
จึงกล่าวชมเชยเป็นคาถาว่า
" ท่านได้คิดอุบายตอบอุบายดีแล้ว
ได้คิดโกงตอบผู้โกงท่านดีแล้ว
ถ้าหนูทั้งหลายพึงกินผาลได้ เหตุไฉนเหยี่ยวทั้งหลายจะเฉี่ยวเด็กไปไม่ได้เล่า
บุคคลที่โกงตอบคนโกงมีอยู่มากในโลก ผู้ที่ล่อล่วงตอบคนล่อลวงก็มีอยู่เหมือนกัน
ท่านผู้มีบุตรหายจงให้ผาลแก่เขาเถิด ท่านผู้มีผาลหายก็คืนบุตรมาให้เขาเถิด
"
พ่อค้าบ้านนอกพูดว่า
" ถ้าเขาคืนผาลเหล็กแก่ผม ผมก็จะคืนลูกชายแก่เขาเหมือนกันละขอรับ
"
อำมาตย์จึงถามพ่อค้าชาวเมืองว่าจะคืนผาลเหล็กแก่เขาไหม
พ่อค้าชาวเมืองยินยอมตามนั้น คนทั้งสองจึงคืนผาลเหล็กและลูกชายแก่กัน
ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามยถากรรม
|