ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภนางสุชาดาน้องสาวของนางวิสาขาซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เรื่องมีอยู่ว่า...
นางสุชาดาสำคัญตนว่าเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่
จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับใคร ๆ ในครอบครัวสามีแม้กระทั่งปู่และย่า
เที่ยวดุด่าเฆี่ยนตีทาสรับใช้ในเรือนของสามีอยู่เป็นประจำ
ต่อมาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้าไปฉันที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ขณะที่กำลังแสดงธรรมอยู่นั่นเอง ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
จึงตรัสถามท่านเศรษฐี เมื่อเศรษฐีกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกนางมาเข้าเฝ้า และตรัสถามนางว่า
" สุชาดา ภรรยามี
๗ จำพวก เธอเป็นภรรยาจำพวกไหน "
นางสุชาดาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า "
ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสหมายถึงอะไร
โปรดอธิบายด้วยเถิดพระเจ้าข้า "
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงภรรยา
๗ จำพวกว่า "
สุชาดา ภรรยาจำพวกที่ ๑ มีจิตคิดประทุษร้ายสามี
มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี
รักใคร่ในชายอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวายเพื่อจะฆ่าสามี
นี่เรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมือนดังเพชฌฆาต
ภรรยาจำพวกที่
๒ สามีได้ทรัพย์มามอบให้ภรรยาเก็บรักษาไว้
แต่ภรรยาไม่รู้จักเก็บรักษา ปรารถนาแต่จะใช้ทรัพย์นั้นให้หมดไป
นี่เรียกว่า โจรีภริยา ภรรยาเสมือนดังโจร
ภรรยาจำพวกที่
๓ เกียจคร้านทำงาน กินจุ มักโกรธ มักดุด่า
กดขี่คนใช้ นี่เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยาเสมือนดังเจ้านาย
ภรรยาจำพวกที่
๔ โอบอ้อมอารี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ
ตามรักษาสามีเหมือนแม่รักษาลูก รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้
นี่เรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมือนดังมารดา
ภรรยาจำพวกที่
๕ มีความเคารพสามี มีความละอายใจ ทำตามความพอใจสามี
คล้ายน้องสาวเคารพพี่ชาย นี่เรียกว่า ภคินีภรรยา
ภรรยาเสมือนดังน้องสาว
ภรรยาจำพวกที่
๖ เห็นหน้าสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับเพื่อนรักมาเยี่ยมเยือนบ้าน
รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี
นี่เรียกว่า สขีภริยา ภรรยาเสมือนดังเพื่อน
ภรรยาจำพวกที่
๗ เป็นคนที่ไม่มีความขึงโกรธ ถึงจะถูกคุกคามก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย
อดกลั้นต่อสามี เอาใจสามีเก่ง นี่เรียกว่า
ทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส
สุชาดา
ภรรยา ๓ จำพวกแรกต้องตกนรก ส่วนภรรยา ๔ จำพวกหลังไปเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี
ภรรยา ๗ จำพวกนี้ เธอจะเป็นจำพวกไหน "
เมื่อพระพุทธองค์เทศนาเรื่องภรรยา
๗ จำพวกจบเท่านั้น นางสุชาดาได้เป็นพระโสดาปัตติผลทันที
จึงกราบทูลว่า " ข้าพระองค์ขอเป็นทาสีภริยา
ภรรยาเสมือนดังทาส พระเจ้าข้า" ถวายบังคมขอขมาพระพุทธเจ้าแล้วก็ไป
เมื่อกลับถึงวัดเชตวันพวกภิกษุพากันสนทนาถึงนางสุชาดาที่เป็นหญิงสะใภ้ผู้ดุร้าย
พอได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้วกลับเป็นหญิงเรียบร้อยไปได้
พระพุทธเจ้าเพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก
ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต
เมืองพาราณสี พอเจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปะที่เมืองตักกสิลา
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบมา
พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม แต่พระมารดาเป็นผู้มักโกรธดุร้าย
ชอบด่าข้าทาสบริวารอยู่เสมอ พระองค์คิดหาวิธีจะตักเตือนพระมารดาแต่ก็ยังหาไม่ได้
วันหนึ่ง
พระองค์เสด็จไปสวนหลวงพร้อมด้วยพระมารดา มีบริวารแวดล้อมไปด้วยคณะใหญ่
พวกข้าทาสบริวารพอได้ยินเสียงนกต้อยตีวิดร้องก็พากันปิดหูพร้อมกับบ่นว่า
" เจ้านกบ้า เสียงไม่ไพเราะก็ยังร้องอยู่ได้
ไม่อยากฟัง" ลำดับนั้นได้ยินเสียงนกดุเหว่าร้องสำเนียงไพเราะก็พากันชื่นชมว่า
" เสียงเจ้าช่างไพเราะจริงๆ
ร้องต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้หยุดนะ"
พระองค์คิดว่าได้โอกาสตักเตือนพระมารดาแล้ว
จึงตรัสเป็นพระคาถาว่า
"
ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่สมบูรณ์วรรณะ มีเสียงอันไพเราะ
น่ารักน่าชม
แต่พูดจาหยาบกระด้าง
ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
พระองค์ก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า
นกดุเหว่าสีดำตัวนี้มีสีไม่สวย ลายพร้อยไปทั้งตัว
แต่เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก
เพราะร้องด้วยเสียงอันไพเราะ
เพราะฉะนั้น
บุคคลควรพูดคำอันสละสลวย คิดก่อนพูด พูดพอประมาณไม่ฟุ้งซ่าน
ถ้อยคำของผู้ที่แสดงเป็นอรรถเป็นธรรม
เป็นถ้อยคำอันไพเราะ เป็นถ้อยคำที่เป็นภาษิต
"
พระมารดาได้สดับแล้วก็กลับได้สติ
จำเดิมแต่วันนั้นมาก็กลายเป็นคนเพียบพร้อมด้วยมารยาทอันดีงามไม่ดุด่าว่าร้ายใครๆ
ครองชีวิตโดยธรรมเสด็จไปตามยถากรรม
|