ค้นหาในเว็บไซต์ :

หมวด ๒ - ทุกะ


(๔)  กรรม ๒ (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตามทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม — action; deed)

๑. อกุศลกรรม (กรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่ว, การกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ — unwholesome action; evil deed; bad deed)

๒. กุศลกรรม (กรรมที่เป็นกุศล, กรรมดี, การกระทำที่ดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสริมคุณภาพของชีวิตจิตใจ หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ —wholesome action; good deed)

A.I.104, 263; It.25,55      องฺ. ติก. ๒๐/๔๔๕/๑๓๑,๕๕๑/๓๓๘; ขุ.อิติ.๒๕/๒๐๘/๒๔๘; ๒๔๒/๒๗๒ (*) กรรมฐาน ๒  ดู (๓๖) ภาวนา ๒.



(๕)  กาม ๒ (ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนา — sensuality)

๑. กิเลสกาม (กิเลสที่ทำให้ใคร่, ความอยากที่เป็นตัวกิเลส — subjective sensuality)

๒. วัตถุกาม (วัตถุอันน่าใคร่, สิ่งที่น่าปรารถนา, สิ่งที่อยากได้, กามคุณ —objective sensuality)

Nd12    ขุ. มหา. ๒๙/๒/๑



(๖)  กามคุณ ๕ (ส่วนที่น่าใคร่น่าปรารถนา, ส่วนที่ดีหรือส่วนอร่อยของกาม —sensual pleasures; sensual objects)

๑. รูปะ (รูป — form; visible object)

๒. สัททะ (เสียง — sound)

๓. คันธะ (กลิ่น — smell; odor)

๔. รสะ (รส — taste)

๕. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย — touch; tangible object)

๕ อย่างนี้ เฉพาะส่วนที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ (agreeable, delightful, pleasurable) เรียกว่า กามคุณ

M.I. 85,173    ม.มู. ๑๒/๑๙๗/๑๖๘; ๓๒๗/๓๓๓.



(๗)  ฌาน ๒ (การเพ่ง, การเพ่งพินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ — meditation; scrutiny; examination)

๑. อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ ๘  คือ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ — object-scrutinizing Jhana)

๒. ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล — characteristic-examining Jhana)

วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์
มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง

ฌานที่แบ่งเป็น ๒ อย่างนี้ มีมาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา.
ดู [๘] [๙] [๑๐] ฌาน ต่าง ๆ   และ [๔๗] สมาธิ ๓

AA. II. 41; PsA.281; DhsA. 167.   องฺ.อ. ๑/๕๓๖; ปฏิสํ.อ. ๒๒๑; สงฺคณี.อ. ๒๗๓



(๘)  ฌาน ๒ ประเภท (ภาวะจิตที่เพ่งอารมณ์จนแน่วแน่ — absorption)

๑. รูปฌาน (ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์, ฌานที่เป็นรูปาวจร — Jhanas of the Fine-Material Sphere)

๒. อรูปฌาน ๔ (ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์, ฌานที่เป็นอรูปาวจร —Jhanas of the Immaterial Sphere)

คำว่า รูปฌาน ก็ดี อรูปฌาน ก็ดี เป็นคำสมัยหลัง เดิมเรียกเพียงว่า ฌาน และ อารุปป์.

D.III. 222; Dhs. 56.    ที.ปา. ๑๑/๒๓๒/๒๓๓; อภิ.สํ. ๓๔/๑๙๒/๗๘.



(๙)  ฌาน ๔ = รูปฌาน ๔ (the Four Jhanas)

๑. ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑ — the First Absorption)  มีองค์ ๕ คือ  วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

๒. ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒ — the Second Absorption)  มีองค์ ๓ คือ  ปีติ สุข เอกัคคตา

๓. ตติยฌาน (ฌานที่ ๓ — the Third Absorption)  มีองค์ ๒ คือ  สุข เอกัคคตา

๔. จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔ — the Fourth Absorption)  มีองค์ ๒ คือ  อุเบกขา เอกัคคตา

คัมภีร์ฝ่ายอภิธรรม นิยมแบ่งรูปฌานนี้เป็น ๕ ขั้น เรียกว่า ฌานปัญจกนัย หรือ ปัญจกัชฌาน โดยแทรก ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ที่มีองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เพิ่มเข้ามา แล้วเลื่อนทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตฌาน ในฌาน ๔ ข้างต้นนี้ออกไปเป็น ตติยฌาน จตุตถฌาน และปัญจมฌาน ตามลำดับ (โดยสาระก็คือ การจำแนกขั้นตอนให้ละเอียดมากขึ้นนั่นเอง)

M.I.40    ม.มู. ๑๒/๑๐๒/๗๒



(๑๐) ฌาน ๘ = รูปฌาน ๔ + อรูปฌาน ๔ (อรูปฌาน ๔   ดู (๑๙๙) อรูป ๔)  

(๑๑) ทาน ๒ (การให้, การเสียสละ, การบริจาค — gift; giving; charity; liberality)

๑. อามิสทาน (การให้สิ่งของ — material gift; carnal gift)

๒. ธรรมทาน (การให้ธรรม, การให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน — gift of Truth; spiritual gift)

ใน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ   อามิสทานช่วยค้ำจุนชีวิตทำให้เขามีที่พึ่งอาศัย   แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไป  เมื่อให้อามิสทาน พึงให้ธรรมทานด้วย.

A.I.90.      องฺ.ทุก. ๒๐/๓๘๖/๑๑๔.



(๑๒) ทาน ๒ (การให้ — gift; giving; alms-giving; offering; charity; liberality; generosity; benevolence; donation; benefaction)

๑. ปาฏิบุคลิกทาน (การให้จำเพาะบุคคล, ทานที่ให้เจาะจงตัวบุคคลหรือให้เฉพาะแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง —offering to a particular person; a gift designated to a particular person)

๒. สังฆทาน (การให้แก่สงฆ์, ทานที่ถวายแก่สงฆ์เป็นส่วนรวม หรือให้แก่บุคคล เช่น พระภิกษุหรือภิกษุณีอย่างเป็นกลางๆ ในฐานะเป็นตัวแทนของสงฆ์ โดยอุทิศต่อสงฆ์ ไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง — offering to the Sangha; a gift dedicated to the Order or to the community of monks as a whole)

ในบาลีเดิม เรียก ปาฏิบุคลิกทาน ว่า “ปาฏิปุคฺคลิกา ทกฺขิณา” (ขอถวายหรือของให้ที่จำเพาะบุคคล) และเรียกสังฆทาน ว่า “สงฺฆคตา ทกฺขิณา” (ขอถวายหรือของให้ที่ถึงในสงฆ์)

ในทาน ๒ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญสังฆทานว่าเป็นเลิศ มีผลมากที่สุด ดังพุทธพจน์ว่า “เราไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าของที่ให้แก่สงฆ์ไม่ว่าโดยปริยายใด ๆ” และได้ตรัสชักชวนให้ให้สังฆทาน

M.III. 254-6; A.III. 392     ม.อุ. ๑๔/๗๑๐-๓/๔๕๙-๔๖๑; อ้างใน มงฺคล. ๒/๑๖; องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๓๐/๔๓๙



(๑๓)  ทิฏฐิ ๒ (ความเห็น, ความเห็นผิด — view; false view)

๑. สัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง, ความเห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป - eternalism)

๒. อุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ, ความเห็นว่าอัตตาและโลกซึ่งจักพินาศขาดสูญหมดสิ้นไป - annihilationism)

S.III.97.    สํ.ข. ๑๗/๑๗๙-๑๘๐/๑๒๐.



(๑๔)  ทิฏฐิ ๓ (ความเห็น, ความเห็นผิด — view; false view)

๑. อกิริยทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีเหตุ, เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย — view of the inefficacy of action)

๒. อเหตุกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มี, เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย — view of non-causality)

๓. นัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มี, เห็นว่าไม่มีการกระทำหรือสภาวะที่จะกำหนดเอาเป็นหลักได้ — nihilistic view; nihilism)

M.I.404.    ม.ม. ๑๓/๑๐๕/๑๑๑.



(๑๕)  ที่สุด หรือ อันตะ ๒ (ข้อปฏิบัติหรือการดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ผิดพลาดไปจากทางอันถูกต้อง คือมัชฌิมาปฏิปทา — the two extremes)

๑. กามสุขัลลิกานุโยค (การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุข — the extreme of sensual indulgence; extreme hedonism)

๒. อัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตนเอง, การบีบคั้นทรมานตนให้เดือดร้อน — the extreme of self-mortification; extreme asceticism)

Vin.I.10; S.V. 420    วินย. ๔/๑๓/๑๘; สํ.ม. ๑๙/๑๖๖๔/๕๒๘.



(๑๖) ทุกข์ ๒ (สภาพที่ทนได้ยาก, ความทุกข์, ความไม่สบาย — pain; suffering; discomfort)

๑. กายิกทุกข์ (ทุกข์ทางกาย — bodily pain; physical suffering)

๒. เจตสิกทุกข์ (ทุกข์ทางใจ, โทมนัส — mental pain; mental suffering)

ดู [๗๘] ทุกขตา ๓ ด้วย.

D.II.306; S.V.204 ที.ม. 10/295/342; สํ.ม. ๑๙/๙๔๒, ๙๔๔/๒๘๐.

(๑๗) เทศนา ๒(การแสดงธรรม, การชี้แจงแสดงความ — preaching; exposition)

๑. บุคคลาธิษฐาน เทศนา (เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง, เทศนาอ้างคน, แสดงโดยยกคนขึ้นอ้าง, ยกคนเป็นหลักฐานในการอธิบาย — exposition in terms of persons)

๒. ธรรมาธิษฐาน เทศนา (เทศนามีธรรมเป็นที่ตั้ง, เทศนาอ้างธรรม, แสดงโดยยกหลักหรือตัวสภาวะขึ้นอ้าง —exposition in terms of ideas)

เทศนา ๒ นี้ ท่านสรุปมาจากเทศนา ๔ ในคัมภีร์ที่อ้างไว้

PsA.449.    ปฏิสํ.อ. ๗๗.



(๑๘) เทศนา ๒ (การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า, การชี้แจงแสดงความ — preaching: exposition; teaching)

๑. สมมติเทศนา (เทศนาโดยสมมต, แสดงตามความหมายที่รู้ร่วมกัน หรือตกลงยอมรับกันของชาวโลก เช่นว่า บุคคล สัตว์ หญิง ชาย กษัตริย์ เทวดา เป็นต้น — conventional teaching)

๒. ปรมัตถเทศนา (เทศนาโดยปรมัตถ์, แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแท้ ๆ เช่นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้น — absolute teaching)

ผู้ฟังจะเข้าใจความ สำเร็จประโยชน์ด้วยเทศนาอย่างใด ก็ทรงแสดงอย่างนั้น
ใน ที.อ.๑/๔๓๖; สํ.อ.๒/๙๘ และ ปญฺจ.อ.๑๘๒ เป็นต้น กล่าวถึง กถา ๒  คือ สมมติกถา และ ปรมัตถกถา พึงทราบความหมายตามแนวความอย่างเดียวกันนี้
ดู [๕๐] สัจจะ ๒

AA.I.94; etc    องฺ.อ. ๑/๙๙, ฯลฯ



(๑๙)  ธรรม ๒ (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ —things; states; phenomena)

๑. รูปธรรม (สภาวะอันเป็นรูป, สิ่งที่มีรูป, ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด —materiality; corporeality)

๒. อรูปธรรม (สภาวะมิใช่รูป, สิ่งที่ไม่มีรูป, ได้แก่นามขันธ์ 4 และนิพพาน —immateriality; incorporeality)

ในบาลีที่มา ท่านเรียก รูปิโน ธมฺมา และ อรูปิโน ธมฺมา

Dhs. 193, 245 อภิ.สํ. 34/705/279; 910/355.



(๒๐) ธรรม ๒ (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ — things; states; phenomena)

๑. โลกิยธรรม (ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก, สภาวะเนื่องในโลก ได้แก่ขันธ์ ๕ ที่เป็นสาสวะทั้งหมด —mundane states)

๒. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก, สภาวะพ้นโลก ได้แก่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ — supramundane states) (+ โพธิปักขิยธรรม ๓๗: ขุ.ปฏิ.๖๒๐; Ps.II.166)

Dhs.193, 245.    อภิ.สํ. ๓๔/๗๐๖/๒๗๙; ๙๑๑/๓๕๕.



(๒๑) ธรรม ๒ (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ — thing; states; phenomena)

๑. สังขตธรรม (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง คือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด — conditioned things; compounded things)

๒. อสังขตธรรม (สิ่งที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง คือ นิพพาน — the Unconditioned, i.e. Nibbana)

Dhs.193, 244.    อภิ.สํ. ๓๔/๗๐๒/๒๗๘; ๙๐๗/๓๕๔.



(๒๒)  ธรรม ๒ (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ — thing; states; phenomena)

๑. อุปาทินนธรรม (ธรรมที่ถูกยึด, ธรรมที่กรรมอันสัมปยุตด้วยตัณหาและทิฏฐิเข้ายึดครอง ได้แก่ นามขันธ์ ๔ ที่เป็นวิบาก และรูปที่เกิดแต่กรรมทั้งหมด — states grasped by craving and false view; grasped states)

๒. อนุปาทินนธรรม (ธรรมที่ไม่ถูกยึด, ธรรมที่กรรมอันสัมปยุตด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง ได้แก่ นามขันธ์ ๔ ส่วนนอกนี้ รูปที่มิใช่เกิดแต่กรรม และ โลกุตตรธรรมทั้งหมด —states not grasped by craving and false view; ungrasped states)

Dhs. 211, 255    อภิ.สํ. ๓๔/๗๗๙/๓๐๕; ๙๕๕/๓๖๙.



(๒๓) ธรรมคุ้มครองโลก ๒ (ธรรมที่ช่วยให้โลกมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อนและสับสนวุ่นวาย — virtues that protect the world)

๑. หิริ (ความละอาย, ละอายใจต่อการทำความชั่ว — moral shame; conscience)

๒. โอตตัปปะ (ความกลัวบาป, เกรงกลัวต่อความชั่ว —moral dread)

A.I. 51; It. 36. องฺ.ทุก.๒๐/๒๕๕/๖๕5; ขุ.อิติ. ๒๕/๒๒๐/๒๕๗



(๒๔) ธรรมทำให้งาม ๒ (gracing virtues)

๑. ขันติ (ความอดทน, อดได้ทนได้เพื่อบรรลุความดีงามและความมุ่งหมายอันชอบ —patience: forbearance; tolerance)

๒. โสรัจจะ (ความเสงี่ยม, อัธยาศัยงาม รักความประณีตหมดจดเรียบร้อยงดงาม —modesty; meekness)

Vin.I.349; A.I.94.    วินย.๕/๒๔๔/๓๓๕; องฺ.ทุก. ๒๐/๔๑๐/๑๑๘ [**] ธรรมที่พระพุทธเจ้าเห็นคุณประจักษ์ ๒   ดู (๖๔) อุปัญญาตธรรม ๒ [**] ธรรมเป็นโลกบาล ๒  ดู [๒๓] ธรรมคุ้มครองโลก ๒



(๒๕) ธรรมมีอุปการะมาก ๒ (ธรรมที่เกื้อกูลในกิจหรือในการทำความดีทุกอย่าง —virtues of great assistance)

๑. สติ (ความระลึกได้, นึกได้, สำนึกอยู่ไม่เผลอ — mindfulness)

๒. สัมปชัญญะ (ความรู้ชัด, รู้ชัดสิ่งที่นึกได้, ตระหนัก, เข้าใจชัดตามความเป็นจริง —clear comprehension)

D.III.273; A.I.95.   ที.ปา.๑๑/๓๗๘/๒๙๐; องฺ.ทุก.๒๐/๔๒๔/๑๑๙



(๒๖) ธุระ ๒ (หน้าที่การงานที่พึงกระทำ, กิจในพระศาสนา —Burden; task; business; responsibility in the Dispensation)

๑. คันถธุระ (ธุระฝ่ายคัมภีร์, กิจด้านการเล่าเรียน — burden of study; task of learning)

๒. วิปัสสนาธุระ (ธุระฝ่ายเจริญวิปัสสนา, กิจด้านการบำเพ็ญภาวนา หรือเจริญกรรมฐาน ซึ่งรวมทั้งสมถะด้วย เรียกรวมเข้าในวิปัสสนาโดยฐานเป็นส่วนคลุมยอด —burden of insight development; task of meditation practice)

ธุระ ๒ นี้ มาในอรรถกถา

DhA.1.7    ธ.อ.๑/๗



(๒๗) นิพพาน ๒ (สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว, ภาวะที่เป็นสุขสูงสุด เพราะไร้กิเลสไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพสมบูรณ์ —Nirvana; Nibbana)

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ —Nibbana with the substratum of life remaining)

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่อุปาทิเหลือ —Nibbana without any substratum of life remaining)

หมายเหตุ: ตามคำอธิบายนัยหนึ่งว่า

๑. = ดับกิเลส ยังมีเบญจขันธ์เหลือ ( = กิเลสปรินิพพาน — extinction of the defilements)

๒. = ดับกิเลส ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ( = ขันธปรินิพพาน — extinction of the Aggregates)     หรือ

๑. = นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังเสวยอารมณ์ที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจทางอินทรีย์ ๕ รับรู้สุขทุกข์อยู่

๒. = นิพพานของพระอรหันต์ผู้ระงับการเสวยอารมณ์ทั้งปวงแล้ว

It.38. ขุ.อิติ.   ๒๕/๒๒๒/๒๕๘.

อีกนัยหนึ่งกล่าวถึงบุคคลว่า

๑. สอุปาทิเสสบุคคล = พระเสขะ

๒. อนุปาทิเสสบุคคล = พระอเสขะ

A.IV.379.    องฺ.นวก. ๒๓/๒๑๖/๓๙๔.



(๒๘) บัญญัติ ๒ และ(การกำหนดเรียก หรือ สิ่งที่ถูกกำหนดเรียก, การกำหนดตั้งหรือตราไว้ให้เป็นที่รู้กัน — designation; term; concept)

๑. ปัญญาปิยบัญญัติ หรือ อรรถบัญญัติ (บัญญัติในแง่เป็นสิ่งอันพึงให้รู้กัน, บัญญัติที่เป็นความหมาย, บัญญัติคือความหมายอันพึงกำหนดเรียก, ตัวความหมายที่จะพึงถูกตั้งชื่อเรียก — the Pannatti to be made Known or conveyed; concept)

๒. ปัญญาปนบัญญัติ หรือ นามบัญญัติ หรือ สัททบัญญัติ (บัญญัติในแง่เป็นเครื่องให้รู้กัน, บัญญัติที่เป็นชื่อ, บัญญัติที่เป็นศัพท์, ชื่อที่ตั้งขึ้นใช้เรียก — the Pannatti that makes Known or conveys; term; designation)

ปัญญาปิยบัญญัติ เรียกเต็มว่า ปัญญาปิยัตตา บัญญัติ, ปัญญาปนบัญญัติ เรียกเต็มว่า ปัญญาปนโต บัญญัติ

ปัญญาปนบัญญัติ หรือ นามบัญญัติ แยกย่อยออกเป็น ๖ อย่าง คือ

๑. วิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่มีอยู่ เช่น รูป เวทนา สมาธิ เป็นต้น — designation of reality; real concept)

๒. อวิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่ไม่มีอยู่ เช่น ม้า แมว รถ นายแดง เป็นต้น — designation of an unreality; unreal concept)

๓. วิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่ไม่มี ด้วยสิ่งที่มี เช่น คนดี นักฌาน ซึ่งความจริงมีแต่ดี คือภาวะที่เป็นกุศล และฌาน แต่คนไม่มี เป็นต้น — designation of an unreality by means of a reality; unreal concept by means of a real concept)

๔. อวิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่มี ด้วยสิ่งที่ไม่มี เช่น เสียงหญิง ซึ่งความจริง หญิงไม่มี มีแต่เสียง เป็นต้น — designation of a reality by means of an unreality; real concept by means of an unreal concept)

๕. วิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่มี ด้วยสิ่งที่มี เช่น จักขุสัมผัส โสตวิญญาณ เป็นต้น —designation of a reality by means of a reality; real concept by means of a real concept)

๖. อวิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่ไม่มี ด้วยสิ่งที่ไม่มี เช่น ราชโอรส ลูกเศรษฐี เป็นต้น — designation of an unreality by means of an unreality; unreal concept by means of an unreal concept)

Pug.A.171;COMP.198    ปญจ.อ. ๓๒; สงฺคห. ๔๙; สงฺคห.ฏีกา ๒๕๓



(๒๙) บุคคลหาได้ยาก ๒ (rare persons)

๑. บุพการี (ผู้ทำความดีหรือทำประโยชน์ให้แต่ต้นโดยไม่ต้องคอยคิดถึงผลตอบแทน — one who is first to do a favor; previous benefactor)

๒. กตัญญูกตเวที (ผู้รู้อุปการะที่เขาทำแล้วและตอบแทน, ผู้รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำดีของผู้อื่น และแสดงออกเพื่อบูชาความดีนั้น — one who is grateful and repays the done favor; grateful person)

A.I.87 องฺ.ทุก. ๒๐/๓๖๔/๑๐๘.



(๓๐)  บูชา ๒ (worship; acts of worship; honoring)

๑. อามิสบูชา (บูชาด้วยสิ่งของ —worship or honoring with material thing; material worship)

๒. ปฏิบัติบูชา (บูชาด้วยการปฏิบัติ — worship or honoring with practice; practical worship)

ในบาลีที่มา ปฏิบัติบูชา เป็น ธรรมบูชา

A.I.93; Vbh.360.    องฺ.ทุก. ๒๐/๓๙๗/๑๑๖. อภิ.วิ. ๓๕/๙๒๑/๔๘๗



(๓๑) ปฏิสันถาร ๒ (การต้อนรับ, การรับรอง, การทักทายปราศรัย - hospitality; welcome; greeting)

๑. อามิสปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ - worldly hospitality; material or carnal greeting)

๒. ธรรมปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยธรรมหรือโดยธรรม - doctrinal hospitality; spiritual greeting)

A.I.93; Vbh.360. องฺ.ทุก. 20/397/116. อภิ.วิ. 35/921/487.



(๓๒)  ปธาน ๒ (ความเพียร หมายเอาความเพียรที่ทำได้ยาก — hard struggles; painstaking endeavors)

๑. ความเพียรของคฤหัสถ์ ที่จะอำนวยปัจจัย ๔ (แก่บรรพชิต เป็นต้น) — struggle of householders to provide the four requisites.

๒. ความเพียรของบรรพชิตที่จะไถ่ถอนกองกิเลส —struggle of the homeless to renounce all substrates of rebirth.

A.I.49; Netti 159.    องฺ.ทุก.๒๐/๒๔๘/๖๓.



(๓๓)  ปริเยสนา ๒ (การแสวงหา — search; quest)

๑. อนริยปริเยสนา (แสวงหาอย่างไม่ประเสริฐ, แสวงหาอย่างอนารยะ คือ ตนเอง เป็นผู้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็นธรรมดา ก็ยังใฝ่แสวงหาแต่สิ่งอันมีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็นธรรมดา — unariyan or ignoble search)

๒. อริยปริเยสนา (แสวงหาอย่างประเสริฐ, แสวงหาอย่างอารยะ คือ ตนเป็นผู้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็นธรรมดา แต่รู้จักโทษข้อบกพร่องของสิ่งที่มีสภาพเช่นนั้นแล้ว ใฝ่แสวงธรรมอันเกษม คือ นิพพาน อันไม่มีสภาพเช่นนั้น — ariyan or noble search)

สองอย่างนี้ เทียบได้กับ อามิสปริเยสนา และ ธรรมปริเยสนา ที่ตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย; แต่สำหรับคนสามัญ  อาจารย์ภายหลังอธิบายว่า ข้อแรกหมายถึงมิจฉาอาชีวะ   ข้อหลังหมายถึงสัมมาอาชีวะ ดังนี้ก็มี.

M.I.161; A.I.93.    ม.มู. ๑๒/๓๑๓/๓๑๔; องฺ.ทุกฺ. ๒๐/๓๙๙/๑๑๖.



(๓๔)  ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ๒ (ทางเกิดแห่งแนวคิดที่ถูกต้อง, ต้นทางของความดีงามทั้งปวง : sources or conditions for the arising of right view)

๑. ปรโตโมสะ (เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก คือ การรับฟังคำแนะนำสั่งสอน เล่าเรียนความรู้ สนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น โดยเฉพาะการสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร : another’ s utterance; inducement by others; hearing or learning from others)

๒. โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้น ๆ หรือปัญหานั้น ๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย : reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection)

ข้อธรรม ๒ อย่างนี้ ได้แก่ ธรรมหมวดที่ (๑) และ (๒) นั่นเอง แปลอย่างปัจจุบันว่า “องค์ประกอบของการศึกษา” หรือ “บุพภาคของการศึกษา” โดยเฉพาะข้อที่ ๑ ในที่นี้ใช้คำกว้าง ๆ แต่ธรรมที่ต้องการเน้น ก็คือ กัลยาณมิตตตา

ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ก็มี ๒ อย่าง คือ ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสิการ ซึ่งตรงข้ามกับที่กล่าวมานี้.

M.I.294; A.I.87. ม.มู.๑๒/๔๙๗/๕๓๙; องฺ.ทุก. ๒๐/๓๗๑/๑๑๐.



(๓๕) ปาพจน์ ๒ (วจนะอันเป็นประธาน, พุทธพจน์หลัก, คำสอนหลักใหญ่ : fundamental text; fundamental teaching)

๑. ธรรม (คำสอนแสดงหลักความจริงที่ควรรู้ และแนะนำหลักความดีที่ควรประพฤติ : the Doctrine)

๒. วินัย (ข้อบัญญัติที่วางไว้เป็นหลักกำกับความประพฤติให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอกัน : the Discipline)

ดู (๗๔) ไตรปิฎกด้วย.

D.II.154.    ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘ (**] พุทธคุณ ๒   ดู (๒๙๒) พุทธคุณ ๒ [**] พุทธคุณ ๒   ดู (๒๙๓) พุทธคุณ ๓ [**] ไพบูลย์ ๒   ดู (๔๔) เวปุลละ ๒



[๓๖]  ภาวนา ๒ (การเจริญ, การทำให้เกิดให้มีขึ้น, การฝึกอบรมจิตใจ : mental development)

๑. สมถภาวนา (การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ, การฝึกสมาธิ : tranquillity development)

๒. วิปัสสนาภาวนา (การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามเป็นจริง, การเจริญปัญญา : insight development)

สองอย่างนี้ ในบาลีที่มาท่านเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม และ วิชชาภาคิยธรรม. ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกว่า กรรมฐาน (อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งงานเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต, วิธีฝึกอบรมจิต stations of mental exercises; mental exercise; สังคห.๕๑ ; Comp. 202)

D.III.273; A.I. 60. ที.ปา. ๑๑/๓๗๙/๒๙๐; องฺ.ทุก.๒๐/๒๗๕/๗๗.



(๓๗) ภาวนา ๔ (การเจริญ, การทำให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา : cultivation; training; development)

๑. กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ, การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ : physical development)

๒. สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน : moral development)

๓. จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น : cultivation of the heart; emotional development)

๔. ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา : cultivation of wisdom; intellectual development)

ในบาลีที่มา ท่านแสดงภาวนา ๔ นี้ ในรูปที่เป็นคุณบทของบุคคล จึงเป็น ภาวิตกาย ภาวิตศีล ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา (ผู้ได้เจริญกาย ศีล จิต และปัญญาแล้ว) บุคคลที่มีคุณสมบัติชุดนี้ครบถ้วนย่อมเป็นพระอรหันต์

A.III.106    องฺ.ปญจก. ๒๒/๗๙/๑๒๑



(๓๘) รูป ๒ (สภาวะที่แปรปรวนแตกสลายเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันขัดแย้ง, ร่างกายและส่วนประกอบฝ่ายวัตถุพร้อมทั้งพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน, ส่วนที่เป็นร่างกับทั้งคุณและอาการ : corporeality; materiality; matter)

๑. มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ (สภาวะอันปรากฏได้เป็นใหญ่ ๆ โต ๆ หรือเป็นต่าง ๆ ได้มากมาย, รูปที่มีอยู่โดยสภาวะ, รูปต้นเดิม ได้แก่ ธาตุ ๔ : primary elements)

๒. อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ๒๔ (รูปอาศัย, รูปที่เป็นไปโดยอาศัยมหาภูต, คุณและอาการแห่งมหาภูต : derivative materiality)

M.II.262; Ps.I.183 ม.อุ. ๑๔/๘๓/๗๕; ขุ.ปฏิ.๓๑/๔๐๓/๒๗๕.

รูป ๒๘ ก็คือรูป ๒ หมวดข้างต้นนี้เอง แต่นับข้อย่อย กล่าวคือ

๑. มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ (รูปใหญ่, รูปเดิม : primary elements; great essentials)  ดู (๓๙)

๒. อุปาทายรูป ๒๔ (รูปอาศัย, รูปสืบเนื่อง : derived material qualities)  ดู (๔๐)

Comp.157.    สงฺคห.๓๓.



(๓๙) มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ : the Four Primary Elements; primary matter)

๑. ปฐวีธาตุ (สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่, สภาพอันเป็นหลักที่ตั้งที่อาศัยแห่งสหชาตรูป เรียกสามัญว่า ธาตุแข้นแข็ง หรือ ธาตุดิน : element of extension; solid element; earth)

๒. อาโปธาตุ (สภาวะที่เอิบอาบหรือดูดซึม หรือซ่านไป ขยายขนาด ผนึก พูนเข้าด้วยกัน เรียกสามัญว่า ธาตุเหลว หรือ ธาตุน้ำ : element of cohesion; fluid element; water)

๓. เตโชธาตุ (สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ : element of heat or radiation; heating element; fire)

๔. วาโยธาตุ (สภาวะที่ทำให้สั่นไหวเคลื่อนที่ และค้ำจุน เรียกสามัญว่า ธาตุลม : element of vibration or motion; air element; wind)

สี่อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธาตุ ๔

D.I.214; Vism. 443; Comp. 154.    ที.สี.๙/๓๔๓/๒๗๗; วิสุทธิ.๓/๑๑; สงฺคห.๓๓



(๔๐) อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ๒๔ (derivative materiality)

ก. ปสาทรูป ๕ (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์: sensitive material qualities)

๑. จักขุ (ตา — the eye)

๒. โสต (หู — the ear)

๓. ฆาน (จมูก — the nose)

๔. ชิวหา ( ลิ้น — the tongue)

๕. กาย ( กาย — the body)

ข. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป ๕ (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ : material qualities of sense-fields)

๖. รูปะ (รูป — form)

๗. สัททะ (เสียง — sound)

๘. คันธะ (กลิ่น — smell)

๙. รสะ (รส — taste)

๐. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย — tangible objects) ข้อนี้ไม่นับเพราะเป็นอันเดียวกับมหาภูต ๓ คือ ปฐวี เตโช และ วาโย ที่กล่าวแล้วในมหาภูต

ค. ภาวรูป ๒ (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ — material qualities of sex)

๑๐. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง — femininity)

๑๑. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย — masculinity)

ง. หทยรูป ๑ (รูปคือหทัย — physical basis of mind)

๑๒. หทัยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ — heart-base)

จ. ชีวิตรูป ๑ (รูปที่เป็นชีวิต — material qualities of life)

๑๓. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต — life-faculty; vitality; vital force)

ฉ. อาหารรูป ๑ (รูปคืออาหาร — material quality of nutrition)

๑๔. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน : edible food; nutriment)

ช. ปริจเฉทรูป ๑ (รูปที่กำหนดเทศะ : material quality of delimitation)

๑๕. อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง : space-element)

ญ. วิญญัติรูป ๒ (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย : material intimation; gesture)

๑๖. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย : bodily intimation; gesture)

๑๗. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา : verbal intimation; speech)

ฏ. วิการรูป ๕ (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้ : material quality of plasticity or alterability)

๑๘. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา — lightness; agility)

๑๙. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)

๒๐. (รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wieldiness)

๐. วิญญัติรูป ๒ ไม่นับเพราะซ้ำในข้อ ญ.

ฏ. ลักขณรูป ๔ (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด : material quality of salient features)

๒๑. (รูปัสส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น : growth; integration)

๒๒. (รูปัสส) สันตติ (ความสืบต่อ : continuity)

๒๓. (รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay)

๒๔. (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย : impermanence)

Dhs. 127; Vism.443; Comp.155    อภิ.สํ.๓๔/๕๐๔/๑๘๕; วิสุทธิ.๓/๑๑; สงฺคห.๓๔



(๔๑) รูป ๒ (สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ : rupa: matter; materiality)

๑. อุปาทินนกรูป (รูปที่กรรมยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่รูปที่เกิดจากกรรม : karmically grasped materiality; clung-to materiality; organic matter)

๒. อนุปาทินนกรูป (รูปที่กรรมยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่รูปที่เกิดจากกรรม : karmically grasped materiality; not-clung-to materiality; inorganic matter)

Vbh.14; Vism.450; Comp.159    อภิ.วิ.๓๕/๓๖/๑๙; วิสุทธิ.๓/๒๐; สงฺคห.๓๕.



(๔๒) ฤทธิ์ ๒  (อิทธิ คือความสำเร็จ ความรุ่งเรือง : achievement; success; prosperity)

๑. อามิสฤทธิ์ (อามิสเป็นฤทธิ์, ความสำเร็จหรือความรุ่งเรืองทางวัตถุ : achievement of carnality; material or carnal prosperity)

. ธรรมฤทธิ์ (ธรรมเป็นฤทธิ์, ความสำเร็จหรือความรุ่งเรืองทางธรรม : achievement of righteousness; doctrinal or spiritual prosperity)

A.I.93.    องฺ.ทุก.๒๐/๔๐๓/๑๑๗. (**) โลกบาลธรรม ๒   ดู (๒๓) ธรรมคุ้มครองโลก ๒



(๔๓) วิมุตติ ๒ (ความหลุดพ้น : deliverance; liberation; freedom)

๑. เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ : deliverance of mind; liberation by concentration)

๒. ปัญญาวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง : deliverance through insight; liberation through wisdom)

A.I.60    องฺ.ทุก.๒๐/๒๗๖/๗๘ (**) เวทนา ๒  ดู (๑๐๙) เวทนา ๒



(๔๔) เวปุลละ ๒ (ความไพบูลย์ — abundance)

๑. อามิสเวปุลละ (อามิสไพบูลย์, ความไพบูลย์แห่งอามิส — abundance of material things; material abundance)

๒. ธัมมเวปุลละ (ธรรมไพบูลย์, ความไพบูลย์แห่งธรรม — abundance of virtues; doctrinal or spiritual abundance)

A.I.93. องฺ. ทุก. ๒๐/๔๐๗/๑๑๗.



(๔๕) สมาธิ ๒ (ความตั้งมั่นแห่งจิต, ภาวะที่จิตสงบนิ่งจับอยู่ที่อารมณ์อันเดียว : concentration)

๑. อุปจารสมาธิ (สมาธิเฉียด ๆ, สมาธิจวนจะแน่วแน่ : access concentration)

๒. อัปปนาสมาธิ (สมาธิแน่วแน่, สมาธิแนบสนิท, สมาธิในฌาน — attainment concentration)

Vism.85, 371.    วิสุทธิ.๑/๑๐๕; ๒/๑๙๔



(๔๖) สมาธิ ๓ (ความตั้งมั่นแห่งจิต, ภาวะที่จิตสงบนิ่งจับอยู่ที่อารมณ์อันเดียว : concentration)

๑. ขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ — momentary concentration)

๒. อุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแน่วแน่ — access concentration)

๓. อัปปนาสมาธิ (สมาธิแน่วแน่ — attainment concentration)

DhsA.117; Vism.144.    สงฺคณี อ.๒๐๗; วิสุทธิ.๑/๘๔.



(๔๗) สมาธิ ๓ (ความตั้งมั่นแห่งจิต หมายถึงสมาธิในวิปัสสนา หรือตัววิปัสสนานั่นเอง แยกประเภทตามลักษณะการกำหนดพิจารณาไตรลักษณ์ ข้อที่ให้สำเร็จความหลุดพ้น — concentration)

๑. สุญญตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาเห็นความว่าง ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนัตตลักษณะ — concentration on the void)

๒. อนิมิตตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนิจจลักษณะ — concentration on the signless)

๓. อัปปณิหิตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีความตั้งปรารถนา ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดทุกขลักษณะ : concentration on the desireless or non-hankering)

ดู (๑๐๖) วิโมกข์ ๓

D.III.219; A.I.299; Ps.I.49.    ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑; องฺ.ติก.๒๐/๕๙๘/๓๘๕; ขุ.ปฏิ.๓๑/๙๒/๗๐.



(๔๘) สังขาร ๒ (สภาพที่ปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งขึ้น, สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย : conditioned things; compounded things)

๑. อุปาทินนกสังขาร (สังขารที่กรรมยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่ อุปาทินนธรรม : karmically grasped phenomena)

๒. อนุปาทินนกสังขาร (สังขารที่กรรมไม่ยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่ อนุปาทินนธรรมทั้งหมด เว้นแต่อสังขตธาตุ คือนิพพาน : karmically ungrasped phenomena)

ดู (๒๒) ธรรม ๒; (๔๑) รูป ๒; (๑๑๘) สังขาร ๓; (๑๘๒) สังขาร ๔  ด้วย

A.A.IV.50    องฺ.อ.๓/๒๒๓; วิภงฺค.อ.๕๙๖



(๔๙) สังคหะ ๒ (การสงเคราะห์ — aid; giving of help or favors; act of aiding or supporting)

๑. อามิสสังคหะ (อามิสสงเคราะห์, สงเคราะห์ด้วยอามิส : supporting with requisites; material aid)

๒. ธัมมสังคหะ (ธรรมสงเคราะห์, สงเคราะห์ด้วยธรรม : aiding by teaching or showing truth; spiritual aid)

A.I.91. องฺ.ทุก. ๒๐/๓๙๓/๑๑๕.



(๕๐) สัจจะ ๒ (ความจริง : truth)

๑. สมมติสัจจะ (ความจริงโดยสมมุติ, ความจริงที่ถือตามความกำหนดตกลงกันไว้ของชาวโลก เช่นว่า คน สัตว์ โต๊ะ หนังสือ เป็นต้น : conventional truth)

๒. ปรมัตถสัจจะ (ความจริงโดยปรมัตถ์, ความจริงตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะและเท่าที่จะกล่าวถึงได้ เช่นว่า รูป นาม เวทนา จิต เจตสิก เป็นต้น : absolute truth)

AA.I.95; KvuA.34    องฺ.อ.๑/๑๐๐; ปญฺจ.อ.๑๕๓,๑๘๒,๒๔๑; ฯลฯ



(๕๑) สาสน์ หรือ ศาสนา ๒  (คำสอน : teaching; dispensation)

๑. ปริยัติศาสนา (คำสอนฝ่ายปริยัติ, คำสอนอันจะต้องเล่าเรียนหรือจะต้องช่ำชอง ได้แก่ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละ — teaching to be studied or mastered; textual or scriptural teaching; dispensation as text) = (๒๙๐) นวังคสัตถุสาสน์

๒. ปฏิบัติศาสนา (คำสอนฝ่ายปฏิบัติ, คำสอนที่จะต้องปฏิบัติ ได้แก่ สัมมาปฏิปทา อนุโลมปฏิปทา อปัจจนีกปฏิปทา (ปฏิปทาที่ไม่ขัดขวาง) อันวัตถปฏิปทา (ปฏิปทาที่เป็นไปตามความมุ่งหมาย) ธัมมานุธัมมปฏิปทา (ปฏิบัติธรรมอันถูกหลัก) กล่าวคือ การบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ (๑๒๗) ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค สติสัมปชัญญะ (๑๗๙) สติปัฏฐาน ๔ (๑๕๕) สัมมัปปธาน ๔ (๒๐๕) อิทธิบาท ๔ (๑๔๖) อินทรีย์ ๕ (๒๒๐) พละ ๕ (๒๖๖) โพชฌงค์ ๗ (๒๗๘) มรรคมีองค์ ๘ — teaching to be practiced; practical teaching; dispensation as practice) ที่เป็นสำคัญในหมวดนี้ ก็คือ (๓๓๘) โพธิปักขิยธรรม ๓๗.

Nd1 143.    ขุ.ม.๒๙/๒๓๒/๑๗๕.



(๕๒) สุข ๒ (ความสุข — pleasure; happiness)

๑. กายิกสุข (สุขทางกาย — bodily happiness)

๒. เจตสิกสุข (สุขทางใจ — mental happiness)

A.I.80.    องฺ.ทุก.๒๐/๓๑๕/๑๐๑.



(๕๓) สุข ๒ (ความสุข — pleasure; happiness)

๑. สามิสสุข (สุขอิงอามิส, สุขอาศัยเหยื่อล่อ, สุขจากวัตถุคือกามคุณ — carnal or sensual happiness)

๒. นิรามิสสุข (สุขไม่อิงอามิส, สุขไม่ต้องอาศัยเหยื่อล่อ, สุขปลอดโปร่งเพราะใจสงบ หรือได้รู้แจ้งตามเป็นจริง — happiness independent of material things or sensual desires; spiritual happiness)

A.I.80.    องฺ.ทุก.๒๐/๓๑๓/๑๐๑.



(๕๔) สุทธิ ๒ (ความบริสุทธิ์, ความสะอาดหมดจด — purity)

๑. ปริยายสุทธิ (ความบริสุทธิ์บางส่วน, หมดจดในบางแง่บางด้าน ได้แก่ ความบริสุทธิ์ของปุถุชนจนถึงพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ที่ครองตนบริสุทธิ์ด้วยข้อปฏิบัติหรือธรรมที่ตนเข้าถึงบางอย่าง แต่ยังกิจในการละและเจริญซึ่งจะต้องทำต่อไปอีก — partial purity)

๒. นิปปริยายสุทธิ (ความบริสุทธิ์สิ้นเชิง, หมดจดแท้จริงเต็มความหมาย ได้แกความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ผู้เสร็จกิจในการเจริญธรรม ครองตนไร้มลทินทุกประการ : absolute purity)

AA.I.293-4    องฺ.อ.๒/๔ (**) อรหันต์ ๒   ดู (๖๑) อรหันต์ ๒



(๕๕) อริยบุคคล ๒ (บุคคลผู้ประเสริฐ, ผู้บรรลุธรรมพิเศษตั้งแต่โสดาปัตติมรรคขึ้นไป, ผู้เป็นอารยะในความหมายของพระพุทธศาสนา — noble individuals; holy persons)

๑. เสขะ (พระเสขะ, พระผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่พระอริยบุคคล ๗ เบื้องต้นในจำนวน ๘ — the learner)

๒. อเสขะ (พระอเสขะ, พระผู้ไม่ต้องศึกษา ได้แก่ผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว : the adept)

A.I.62.    องฺ.ทุก.๒๐/๒๘๐/๘๐.



(๕๖) อริยบุคคล ๔

๑. โสดาบัน (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, “ผู้ถึงกระแส” — Stream-Enterer)

๒. สกทาคามี (ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, “ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว” — Once-Returner)

๓. อนาคามี (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, “ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก” — Non-Returner)

๔. อรหันต์ (ท่านผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, “ผู้ควร” “ผู้หักกำแห่งสงสารแล้ว” — the Worthy One)

ดู (๑๖๓) มรรค ๔; (๓๑๗) สังโยชน์ ๑๐

D.I.156.    นัย ที.สี.๙/๒๕๐-๒๕๓/๑๙๙-๒๐๐.



(๕๗) อริยบุคคล ๘ แยกเป็น มรรคสมังคี (ผู้พร้อมด้วยมรรค) ๔, ผลสมังคี (ผู้พร้อมด้วยผล) ๔.

๑. โสดาบัน (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล — one who has entered the stream; one established in the Fruition of Stream-Entry; Stream-Enterer)

๒. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล (พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry)

๓. สกทาคามี (ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล — one who is a Once-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning)

๔. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล (พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Once-Returning; one established in the Path of Once-Returning)

๕ อนาคามี (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล — one who is a Non-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning)

๖. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล (พระตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Non-Returning; one established in the Path of Non-Returning)

๗. อรหันต์ (ท่านผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล — one who is an Arahant; one established in the Fruition of Arahantship)

๘. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล (พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Arahantship; one established in the Path of Arahantship

ดู (๑๖๓-๔) มรรค ๔ ผล ๔ ด้วย.

D.III.255; A.IV. 291; Pug 73.    ที.ปา. ๑๑/๓๔๒/๒๖๗; องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๙/๓๐๑; อภิ.ปุ.๓๖/๑๕๐/๒๓๓.



(๕๘) โสดาบัน ๓ (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, ผู้แรกถึงกระแสอันนำไปสู่พระนิพพาน แน่ต่อการตรัสรู้ข้างหน้า — Stream-Enterer)

๑. เอกพีชี (ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต — the Single-Seed)

๒. โกลังโกละ (ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพ ก็จักบรรลุอรหัต — the Clan-to-Clan)

๓. สัตตักขัตตุงปรมะ (ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต — the Seven-Times-at-Most)

A.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74   องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙/; อภิ.ปุ.๓๖/๔๗-๙/๑๔๗.



(๕๙) สกทาคามี ๓,๕ (ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว — Once-Returner)

พระสกทาคามีนี้ ในบาลีมิได้แยกประเภทไว้ แต่ในคัมภีร์รุ่นหลังแยกประเภทไว้หลายอย่าง เช่น ในคัมภีร์ ปรมัตถโชติกา แยกไว้เป็น ๓ ประเภท คือ ผู้ได้บรรลุผลนั้น ในกามภพ ๑ ในรูปภพ ๑ ในอรูปภพ ๑

ในคัมภีร์ ปรมัตถมัญชุสา จำแนกไว้ ๕ ประเภท คือ ผู้บรรลุในโลกนี้แล้วปรินิพพานในโลกนี้เอง ๑   ผู้บรรลุในโลกนี้แล้ว ปรินิพพานในเทวโลก ๑   ผู้บรรลุในเทวโลกแล้วปรินิพพานในเทวโลกนั้นเอง ๑   ผู้บรรลุในเทวโลกแล้ว เกิดในโลกนี้จึงปรินิพพาน ๑   ผู้บรรลุในโลกนี้แล้ว ไปเกิดในเทวโลกหมดอายุแล้ว กลับมาเกิดในโลกนี้จึงปรินิพพาน ๑   และอธิบายต่อท้ายว่า พระสกทาคามีที่กล่าวถึงในบาลีหมายเอาประเภทที่ ๕ อย่างเดียว

นอกจากนี้ ที่ท่านแบ่งออกเป็น ๔ บ้าง ๑๒ บ้าง ก็มี แต่จะไม่กล่าวไว้ในที่นี้

KhA.182.    ขุทฺทก.อ.๑๙๙; วิสุทฺธิ. ฏีกา ๓/๖๕๕.



(๖๐) อนาคามี ๕ (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก — Non-Returner)

๑. อันตราปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานในระหว่าง คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้ว อายุยังไม่ถึงกึ่ง ก็ปรินิพพานโดยกิเลสปรินิพพาน — one who attains Parinibbana within the first half life-span)

๒. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้จวนจะถึงจึงปรินิพพาน คือ อายุพ้นกึ่งแล้ว จวนจะถึงสิ้นอายุจึงปรินิพพาน — one who attains Parinibbana after the first half life-span)

๓. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก — one who attains Parinibbana without exertion)

๔. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก — one who attains Parinibbana with exertion)

๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน — one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer bound for the Not-Junior Gods)

A.I. 233; IV. 14,70,380; V. 120; Pug.16    องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙; อภิ.ปุ.๓๖/๕๒-๖/๑๔๘.



(๖๑) อรหันต์ ๒ (ผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, ท่านผู้สมควรรับทักษิณาและการเคารพบูชาอย่างแท้จริง — an Arahant; arahant; Worthy One)

๑. สุกขวิปัสสก (ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ว คือ ท่านผู้มิได้ฌาน สำเร็จอรหัตด้วยเจริญแต่วิปัสสนาล้วน ๆ — the dry-visioned; bare-insight worker)

๒. สมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือ ท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จอรหัต — one whose vehicle is tranquillity; the quiet-vehicled)

KhA.178,183; Vism.587,666.    ขุทฺทก.อ.๒๐๐; วิสุทธิ.๓/๒๐๖,๓๑๒; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๓๙๘; ๕๗๙.



(๖๒) อรหันต์ ๔, ๕, ๖๐ (an Arahant; arahant; Worthy One)

๑. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน — bare-insight-worker)

๒. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓ — one with the Threefold Knowledge)

๓. ฉฬภิญฺโ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one with the Sixfold Superknowledge)

๔. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา — one having att...the Analytic Insights)

พระอรหันต์ทั้ง ๔ ในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประมวลแสดงไว้ในหนังสือธรรมวิภาคปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๔๑ พึงทราบคำอธิบายตามที่มาเฉพาะของคำนั้นๆ

แต่คัมภีร์ทั้งหลายนิยมจำแนกเป็น ๒ อย่าง เหมือนในหมวดก่อนบ้าง เป็น ๕ อย่างบ้าง  ที่เป็น ๕ คือ

๑. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา — one liberated by wisdom)

๒. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)

๓. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ — one possessing the Threefold Knowledge)

๔. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one possessing the Sixfold Superknowledge)

๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ — one having gained the Four Analytic Insights)

ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น  พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท)  พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญา ก็มี  ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้น ประกอบความเพียรไว้เก่าและการบรรลุอรหัต

พระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้น แต่ละประเภท จำแนกโดยวิโมกข์ ๓ รวมเป็น ๑๕  จำแนกออกไปอีกโดยปฏิปทา ๔  จึงรวมเป็น ๖๐  ความละเอียดในข้อนี้จะไม่แสดงไว้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ  ผู้ต้องการทราบยิ่งขึ้นไป พึงดูในหนังสือนี้ฉบับใหญ่

ดู (๖๑) อรหันต์ ๒; (๑๐๕) วิชชา ๓; (๑๕๔) ปฏิสัมภิทา ๔; (๒๖๐) อภิญญา ๖.

Vism. 710.    วิสุทธิ.๓/๓๗๓; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๖๕๗.



(๖๓) อริยบุคคล ๗ (บุคคลผู้ประเสริฐ — noble individuals) เรียงจากสูงลงมา

๑. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสว๘ ด้วยกายและสิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุตติขั้นอรูปสมบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)

๒. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา คือ ท่านที่มิได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกายแต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติก็สำเร็จเลยทีเดียว — one liberated by understanding)

๓. กายสักขี (ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือ ผู้ประจักษ์กับตัว คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — the body-witness)

๔. ทิฏฐิปปัตตะ (ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one attained to right view)

๕. สัทธาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านทีเข้าในอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one liberated by faith)

๖. ธัมมานุสารี (ผู้แล่นไปตามธรรม หรือผู้แล่นตามไปด้วยธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ — the truth-devotee)

๗. สัทธานุสารี (ผู้แล่นไปตามศรัทธา หรือผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต — the faith devotee)

D.III. 105,254; Vism.659.       ที.ปา.๑๑/๘๐/๑๑๕; ๓๓๖/๒๖๖; องฺ.ติก.๒๐/๔๖๐/๑๔๘; ขุ.ปฏิ. ๓๑/๔๙๓-๕/๓๘๐-๓;
อภิ.ปุ.๓๖/๑๓/๑๓๙; วิสุทธิ.๓/๓๐๒; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๕๖๒-๕๖๘.



(๖๔) อุปัญญาตธรรม ๒ (ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติเห็นคุณประจักษ์กับพระองค์เอง คือ พระองค์ได้ทรงอาศัยธรรม ๒ อย่างนี้ดำเนินอริยมรรคจนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือ สัมมาสัมโพธิญาณ — two virtues realized or ascertained by the Buddha himself)

๑. อสนฺตุฏฺฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ (ความไม่สันโดษในกุศลธรรม, ความไม่รู้อิ่มไม่รู้พอในการสร้างความดีและสิ่งที่ดี — discontent in moral states; discontent with good achievements)

๒. อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ (ความไม่ระย่อในการพากเพียร, การเพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปไม่ยอมถอยหลัง — perseverance in exertion; unfaltering effort)

D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234.    ที.ปา.๑๑/๒๒๗/๒๒๗; องฺ.ทุก.๒๐/๒๕๑/๖๔; ๔๒๒/๑๑๙; อภิ.สํ.๓๔/๑๕/๘; ๘๗๕/๓๓๙






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย