๑. อกุศลกรรม (กรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่ว, การกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ — unwholesome action; evil deed; bad deed)
๒. กุศลกรรม (กรรมที่เป็นกุศล, กรรมดี, การกระทำที่ดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสริมคุณภาพของชีวิตจิตใจ หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ —wholesome action; good deed)
A.I.104, 263; It.25,55 องฺ. ติก. ๒๐/๔๔๕/๑๓๑,๕๕๑/๓๓๘; ขุ.อิติ.๒๕/๒๐๘/๒๔๘; ๒๔๒/๒๗๒ (*) กรรมฐาน ๒ ดู (๓๖) ภาวนา ๒.
๑. กิเลสกาม (กิเลสที่ทำให้ใคร่, ความอยากที่เป็นตัวกิเลส — subjective sensuality)
๒. วัตถุกาม (วัตถุอันน่าใคร่, สิ่งที่น่าปรารถนา, สิ่งที่อยากได้, กามคุณ —objective sensuality)
Nd12 ขุ. มหา. ๒๙/๒/๑
๑. รูปะ (รูป — form; visible object)
๒. สัททะ (เสียง — sound)
๓. คันธะ (กลิ่น — smell; odor)
๔. รสะ (รส — taste)
๕. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย — touch; tangible object)
๕ อย่างนี้ เฉพาะส่วนที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ (agreeable, delightful, pleasurable) เรียกว่า กามคุณ
M.I. 85,173 ม.มู. ๑๒/๑๙๗/๑๖๘; ๓๒๗/๓๓๓.
๑. อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ — object-scrutinizing Jhana)
๒. ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล — characteristic-examining Jhana)
วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์
มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง
ฌานที่แบ่งเป็น ๒ อย่างนี้
มีมาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา.
ดู [๘] [๙] [๑๐] ฌาน ต่าง ๆ และ [๔๗] สมาธิ ๓
AA. II. 41; PsA.281; DhsA. 167. องฺ.อ. ๑/๕๓๖; ปฏิสํ.อ. ๒๒๑; สงฺคณี.อ. ๒๗๓
๑. รูปฌาน ๔ (ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์, ฌานที่เป็นรูปาวจร — Jhanas of the Fine-Material Sphere)
๒. อรูปฌาน ๔ (ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์, ฌานที่เป็นอรูปาวจร —Jhanas of the Immaterial Sphere)
คำว่า รูปฌาน ก็ดี อรูปฌาน ก็ดี เป็นคำสมัยหลัง เดิมเรียกเพียงว่า ฌาน และ อารุปป์.
D.III. 222; Dhs. 56. ที.ปา. ๑๑/๒๓๒/๒๓๓; อภิ.สํ. ๓๔/๑๙๒/๗๘.
๑. ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑ — the First Absorption) มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒. ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒ — the Second Absorption) มีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
๓. ตติยฌาน (ฌานที่ ๓ — the Third Absorption) มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา
๔. จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔ — the Fourth Absorption) มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา
คัมภีร์ฝ่ายอภิธรรม นิยมแบ่งรูปฌานนี้เป็น ๕ ขั้น เรียกว่า ฌานปัญจกนัย หรือ ปัญจกัชฌาน โดยแทรก ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ที่มีองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เพิ่มเข้ามา แล้วเลื่อนทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตฌาน ในฌาน ๔ ข้างต้นนี้ออกไปเป็น ตติยฌาน จตุตถฌาน และปัญจมฌาน ตามลำดับ (โดยสาระก็คือ การจำแนกขั้นตอนให้ละเอียดมากขึ้นนั่นเอง)
M.I.40 ม.มู. ๑๒/๑๐๒/๗๒
๑. อามิสทาน (การให้สิ่งของ — material gift; carnal gift)
๒. ธรรมทาน (การให้ธรรม, การให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน — gift of Truth; spiritual gift)
ใน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ อามิสทานช่วยค้ำจุนชีวิตทำให้เขามีที่พึ่งอาศัย แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไป เมื่อให้อามิสทาน พึงให้ธรรมทานด้วย.
A.I.90. องฺ.ทุก. ๒๐/๓๘๖/๑๑๔.
๑. ปาฏิบุคลิกทาน (การให้จำเพาะบุคคล, ทานที่ให้เจาะจงตัวบุคคลหรือให้เฉพาะแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง —offering to a particular person; a gift designated to a particular person)
๒. สังฆทาน (การให้แก่สงฆ์, ทานที่ถวายแก่สงฆ์เป็นส่วนรวม หรือให้แก่บุคคล เช่น พระภิกษุหรือภิกษุณีอย่างเป็นกลางๆ ในฐานะเป็นตัวแทนของสงฆ์ โดยอุทิศต่อสงฆ์ ไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง — offering to the Sangha; a gift dedicated to the Order or to the community of monks as a whole)
ในบาลีเดิม เรียก ปาฏิบุคลิกทาน ว่า “ปาฏิปุคฺคลิกา ทกฺขิณา” (ขอถวายหรือของให้ที่จำเพาะบุคคล) และเรียกสังฆทาน ว่า “สงฺฆคตา ทกฺขิณา” (ขอถวายหรือของให้ที่ถึงในสงฆ์)
ในทาน ๒ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญสังฆทานว่าเป็นเลิศ มีผลมากที่สุด ดังพุทธพจน์ว่า “เราไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าของที่ให้แก่สงฆ์ไม่ว่าโดยปริยายใด ๆ” และได้ตรัสชักชวนให้ให้สังฆทาน
M.III. 254-6; A.III. 392 ม.อุ. ๑๔/๗๑๐-๓/๔๕๙-๔๖๑; อ้างใน มงฺคล. ๒/๑๖; องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๓๐/๔๓๙
๑. สัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง, ความเห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป - eternalism)
๒. อุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ, ความเห็นว่าอัตตาและโลกซึ่งจักพินาศขาดสูญหมดสิ้นไป - annihilationism)
S.III.97. สํ.ข. ๑๗/๑๗๙-๑๘๐/๑๒๐.
๑. อกิริยทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีเหตุ, เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย — view of the inefficacy of action)
๒. อเหตุกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มี, เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย — view of non-causality)
๓. นัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มี, เห็นว่าไม่มีการกระทำหรือสภาวะที่จะกำหนดเอาเป็นหลักได้ — nihilistic view; nihilism)
M.I.404. ม.ม. ๑๓/๑๐๕/๑๑๑.
๑. กามสุขัลลิกานุโยค (การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุข — the extreme of sensual indulgence; extreme hedonism)
๒. อัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตนเอง, การบีบคั้นทรมานตนให้เดือดร้อน — the extreme of self-mortification; extreme asceticism)
Vin.I.10; S.V. 420 วินย. ๔/๑๓/๑๘; สํ.ม. ๑๙/๑๖๖๔/๕๒๘.
๑. กายิกทุกข์ (ทุกข์ทางกาย — bodily pain; physical suffering)
๒. เจตสิกทุกข์ (ทุกข์ทางใจ, โทมนัส — mental pain; mental suffering)
ดู [๗๘] ทุกขตา ๓ ด้วย.
D.II.306; S.V.204 ที.ม. 10/295/342; สํ.ม. ๑๙/๙๔๒, ๙๔๔/๒๘๐.
(๑๗) เทศนา ๒๑ (การแสดงธรรม, การชี้แจงแสดงความ — preaching; exposition)
๑. บุคคลาธิษฐาน เทศนา (เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง, เทศนาอ้างคน, แสดงโดยยกคนขึ้นอ้าง, ยกคนเป็นหลักฐานในการอธิบาย — exposition in terms of persons)
๒. ธรรมาธิษฐาน เทศนา (เทศนามีธรรมเป็นที่ตั้ง, เทศนาอ้างธรรม, แสดงโดยยกหลักหรือตัวสภาวะขึ้นอ้าง —exposition in terms of ideas)
เทศนา ๒ นี้ ท่านสรุปมาจากเทศนา ๔ ในคัมภีร์ที่อ้างไว้
PsA.449. ปฏิสํ.อ. ๗๗.
๑. สมมติเทศนา (เทศนาโดยสมมต, แสดงตามความหมายที่รู้ร่วมกัน หรือตกลงยอมรับกันของชาวโลก เช่นว่า บุคคล สัตว์ หญิง ชาย กษัตริย์ เทวดา เป็นต้น — conventional teaching)
๒. ปรมัตถเทศนา (เทศนาโดยปรมัตถ์, แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแท้ ๆ เช่นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้น — absolute teaching)
ผู้ฟังจะเข้าใจความ สำเร็จประโยชน์ด้วยเทศนาอย่างใด
ก็ทรงแสดงอย่างนั้น
ใน ที.อ.๑/๔๓๖; สํ.อ.๒/๙๘ และ ปญฺจ.อ.๑๘๒ เป็นต้น กล่าวถึง กถา
๒ คือ สมมติกถา และ ปรมัตถกถา
พึงทราบความหมายตามแนวความอย่างเดียวกันนี้
ดู [๕๐] สัจจะ ๒
AA.I.94; etc องฺ.อ. ๑/๙๙, ฯลฯ
๑. รูปธรรม (สภาวะอันเป็นรูป, สิ่งที่มีรูป, ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด —materiality; corporeality)
๒. อรูปธรรม (สภาวะมิใช่รูป, สิ่งที่ไม่มีรูป, ได้แก่นามขันธ์ 4 และนิพพาน —immateriality; incorporeality)
ในบาลีที่มา ท่านเรียก รูปิโน ธมฺมา และ อรูปิโน ธมฺมา
Dhs. 193, 245 อภิ.สํ. 34/705/279; 910/355.
๑. โลกิยธรรม (ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก, สภาวะเนื่องในโลก ได้แก่ขันธ์ ๕ ที่เป็นสาสวะทั้งหมด —mundane states)
๒. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก, สภาวะพ้นโลก ได้แก่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ — supramundane states) (+ โพธิปักขิยธรรม ๓๗: ขุ.ปฏิ.๖๒๐; Ps.II.166)
Dhs.193, 245. อภิ.สํ. ๓๔/๗๐๖/๒๗๙; ๙๑๑/๓๕๕.
๑. สังขตธรรม (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง คือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด — conditioned things; compounded things)
๒. อสังขตธรรม (สิ่งที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง คือ นิพพาน — the Unconditioned, i.e. Nibbana)
Dhs.193, 244. อภิ.สํ. ๓๔/๗๐๒/๒๗๘; ๙๐๗/๓๕๔.
๑. อุปาทินนธรรม (ธรรมที่ถูกยึด, ธรรมที่กรรมอันสัมปยุตด้วยตัณหาและทิฏฐิเข้ายึดครอง ได้แก่ นามขันธ์ ๔ ที่เป็นวิบาก และรูปที่เกิดแต่กรรมทั้งหมด — states grasped by craving and false view; grasped states)
๒. อนุปาทินนธรรม (ธรรมที่ไม่ถูกยึด, ธรรมที่กรรมอันสัมปยุตด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง ได้แก่ นามขันธ์ ๔ ส่วนนอกนี้ รูปที่มิใช่เกิดแต่กรรม และ โลกุตตรธรรมทั้งหมด —states not grasped by craving and false view; ungrasped states)
Dhs. 211, 255 อภิ.สํ. ๓๔/๗๗๙/๓๐๕; ๙๕๕/๓๖๙.
๑. หิริ (ความละอาย, ละอายใจต่อการทำความชั่ว — moral shame; conscience)
๒. โอตตัปปะ (ความกลัวบาป, เกรงกลัวต่อความชั่ว —moral dread)
A.I. 51; It. 36. องฺ.ทุก.๒๐/๒๕๕/๖๕5; ขุ.อิติ. ๒๕/๒๒๐/๒๕๗
๑. ขันติ (ความอดทน, อดได้ทนได้เพื่อบรรลุความดีงามและความมุ่งหมายอันชอบ —patience: forbearance; tolerance)
๒. โสรัจจะ (ความเสงี่ยม, อัธยาศัยงาม รักความประณีตหมดจดเรียบร้อยงดงาม —modesty; meekness)
Vin.I.349; A.I.94. วินย.๕/๒๔๔/๓๓๕; องฺ.ทุก. ๒๐/๔๑๐/๑๑๘ [**] ธรรมที่พระพุทธเจ้าเห็นคุณประจักษ์ ๒ ดู (๖๔) อุปัญญาตธรรม ๒ [**] ธรรมเป็นโลกบาล ๒ ดู [๒๓] ธรรมคุ้มครองโลก ๒
๑. สติ (ความระลึกได้, นึกได้, สำนึกอยู่ไม่เผลอ — mindfulness)
๒. สัมปชัญญะ (ความรู้ชัด, รู้ชัดสิ่งที่นึกได้, ตระหนัก, เข้าใจชัดตามความเป็นจริง —clear comprehension)
D.III.273; A.I.95. ที.ปา.๑๑/๓๗๘/๒๙๐; องฺ.ทุก.๒๐/๔๒๔/๑๑๙
๑. คันถธุระ (ธุระฝ่ายคัมภีร์, กิจด้านการเล่าเรียน — burden of study; task of learning)
๒. วิปัสสนาธุระ (ธุระฝ่ายเจริญวิปัสสนา, กิจด้านการบำเพ็ญภาวนา หรือเจริญกรรมฐาน ซึ่งรวมทั้งสมถะด้วย เรียกรวมเข้าในวิปัสสนาโดยฐานเป็นส่วนคลุมยอด —burden of insight development; task of meditation practice)
ธุระ ๒ นี้ มาในอรรถกถา
DhA.1.7 ธ.อ.๑/๗
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ —Nibbana with the substratum of life remaining)
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่อุปาทิเหลือ —Nibbana without any substratum of life remaining)
หมายเหตุ: ตามคำอธิบายนัยหนึ่งว่า
๑. = ดับกิเลส ยังมีเบญจขันธ์เหลือ ( = กิเลสปรินิพพาน — extinction of the defilements)
๒. = ดับกิเลส ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ( = ขันธปรินิพพาน — extinction of the Aggregates) หรือ
๑. = นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังเสวยอารมณ์ที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจทางอินทรีย์ ๕ รับรู้สุขทุกข์อยู่
๒. = นิพพานของพระอรหันต์ผู้ระงับการเสวยอารมณ์ทั้งปวงแล้ว
It.38. ขุ.อิติ. ๒๕/๒๒๒/๒๕๘.
อีกนัยหนึ่งกล่าวถึงบุคคลว่า
๑. สอุปาทิเสสบุคคล = พระเสขะ
๒. อนุปาทิเสสบุคคล = พระอเสขะ
A.IV.379. องฺ.นวก. ๒๓/๒๑๖/๓๙๔.
๑. ปัญญาปิยบัญญัติ หรือ อรรถบัญญัติ (บัญญัติในแง่เป็นสิ่งอันพึงให้รู้กัน, บัญญัติที่เป็นความหมาย, บัญญัติคือความหมายอันพึงกำหนดเรียก, ตัวความหมายที่จะพึงถูกตั้งชื่อเรียก — the Pannatti to be made Known or conveyed; concept)
๒. ปัญญาปนบัญญัติ หรือ นามบัญญัติ หรือ สัททบัญญัติ (บัญญัติในแง่เป็นเครื่องให้รู้กัน, บัญญัติที่เป็นชื่อ, บัญญัติที่เป็นศัพท์, ชื่อที่ตั้งขึ้นใช้เรียก — the Pannatti that makes Known or conveys; term; designation)
ปัญญาปิยบัญญัติ เรียกเต็มว่า ปัญญาปิยัตตา บัญญัติ, ปัญญาปนบัญญัติ เรียกเต็มว่า ปัญญาปนโต บัญญัติ
ปัญญาปนบัญญัติ หรือ นามบัญญัติ แยกย่อยออกเป็น ๖ อย่าง คือ
๑. วิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่มีอยู่ เช่น รูป เวทนา สมาธิ เป็นต้น — designation of reality; real concept)
๒. อวิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่ไม่มีอยู่ เช่น ม้า แมว รถ นายแดง เป็นต้น — designation of an unreality; unreal concept)
๓. วิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่ไม่มี ด้วยสิ่งที่มี เช่น คนดี นักฌาน ซึ่งความจริงมีแต่ดี คือภาวะที่เป็นกุศล และฌาน แต่คนไม่มี เป็นต้น — designation of an unreality by means of a reality; unreal concept by means of a real concept)
๔. อวิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่มี ด้วยสิ่งที่ไม่มี เช่น เสียงหญิง ซึ่งความจริง หญิงไม่มี มีแต่เสียง เป็นต้น — designation of a reality by means of an unreality; real concept by means of an unreal concept)
๕. วิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่มี ด้วยสิ่งที่มี เช่น จักขุสัมผัส โสตวิญญาณ เป็นต้น —designation of a reality by means of a reality; real concept by means of a real concept)
๖. อวิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ (บัญญัติสิ่งที่ไม่มี ด้วยสิ่งที่ไม่มี เช่น ราชโอรส ลูกเศรษฐี เป็นต้น — designation of an unreality by means of an unreality; unreal concept by means of an unreal concept)
Pug.A.171;COMP.198 ปญจ.อ. ๓๒; สงฺคห. ๔๙; สงฺคห.ฏีกา ๒๕๓
๑. บุพการี (ผู้ทำความดีหรือทำประโยชน์ให้แต่ต้นโดยไม่ต้องคอยคิดถึงผลตอบแทน — one who is first to do a favor; previous benefactor)
๒. กตัญญูกตเวที (ผู้รู้อุปการะที่เขาทำแล้วและตอบแทน, ผู้รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำดีของผู้อื่น และแสดงออกเพื่อบูชาความดีนั้น — one who is grateful and repays the done favor; grateful person)
A.I.87 องฺ.ทุก. ๒๐/๓๖๔/๑๐๘.
๑. อามิสบูชา (บูชาด้วยสิ่งของ —worship or honoring with material thing; material worship)
๒. ปฏิบัติบูชา (บูชาด้วยการปฏิบัติ — worship or honoring with practice; practical worship)
ในบาลีที่มา ปฏิบัติบูชา เป็น ธรรมบูชา
A.I.93; Vbh.360. องฺ.ทุก. ๒๐/๓๙๗/๑๑๖. อภิ.วิ. ๓๕/๙๒๑/๔๘๗
๑. อามิสปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ - worldly hospitality; material or carnal greeting)
๒. ธรรมปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยธรรมหรือโดยธรรม - doctrinal hospitality; spiritual greeting)
A.I.93; Vbh.360. องฺ.ทุก. 20/397/116. อภิ.วิ. 35/921/487.
๑. ความเพียรของคฤหัสถ์ ที่จะอำนวยปัจจัย ๔ (แก่บรรพชิต เป็นต้น) — struggle of householders to provide the four requisites.
๒. ความเพียรของบรรพชิตที่จะไถ่ถอนกองกิเลส —struggle of the homeless to renounce all substrates of rebirth.
A.I.49; Netti 159. องฺ.ทุก.๒๐/๒๔๘/๖๓.
๑. อนริยปริเยสนา (แสวงหาอย่างไม่ประเสริฐ, แสวงหาอย่างอนารยะ คือ ตนเอง เป็นผู้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็นธรรมดา ก็ยังใฝ่แสวงหาแต่สิ่งอันมีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็นธรรมดา — unariyan or ignoble search)
๒. อริยปริเยสนา (แสวงหาอย่างประเสริฐ, แสวงหาอย่างอารยะ คือ ตนเป็นผู้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็นธรรมดา แต่รู้จักโทษข้อบกพร่องของสิ่งที่มีสภาพเช่นนั้นแล้ว ใฝ่แสวงธรรมอันเกษม คือ นิพพาน อันไม่มีสภาพเช่นนั้น — ariyan or noble search)
สองอย่างนี้ เทียบได้กับ อามิสปริเยสนา และ ธรรมปริเยสนา ที่ตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย; แต่สำหรับคนสามัญ อาจารย์ภายหลังอธิบายว่า ข้อแรกหมายถึงมิจฉาอาชีวะ ข้อหลังหมายถึงสัมมาอาชีวะ ดังนี้ก็มี.
M.I.161; A.I.93. ม.มู. ๑๒/๓๑๓/๓๑๔; องฺ.ทุกฺ. ๒๐/๓๙๙/๑๑๖.
๑. ปรโตโมสะ (เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก คือ การรับฟังคำแนะนำสั่งสอน เล่าเรียนความรู้ สนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น โดยเฉพาะการสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร : another’ s utterance; inducement by others; hearing or learning from others)
๒. โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้น ๆ หรือปัญหานั้น ๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย : reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection)
ข้อธรรม ๒ อย่างนี้ ได้แก่ ธรรมหมวดที่ (๑) และ (๒) นั่นเอง แปลอย่างปัจจุบันว่า “องค์ประกอบของการศึกษา” หรือ “บุพภาคของการศึกษา” โดยเฉพาะข้อที่ ๑ ในที่นี้ใช้คำกว้าง ๆ แต่ธรรมที่ต้องการเน้น ก็คือ กัลยาณมิตตตา
ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ก็มี ๒ อย่าง คือ ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสิการ ซึ่งตรงข้ามกับที่กล่าวมานี้.
M.I.294; A.I.87. ม.มู.๑๒/๔๙๗/๕๓๙; องฺ.ทุก. ๒๐/๓๗๑/๑๑๐.
๑. ธรรม (คำสอนแสดงหลักความจริงที่ควรรู้ และแนะนำหลักความดีที่ควรประพฤติ : the Doctrine)
๒. วินัย (ข้อบัญญัติที่วางไว้เป็นหลักกำกับความประพฤติให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอกัน : the Discipline)
ดู (๗๔) ไตรปิฎกด้วย.
D.II.154. ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘ (**] พุทธคุณ ๒ ดู (๒๙๒) พุทธคุณ ๒ [**] พุทธคุณ ๒ ดู (๒๙๓) พุทธคุณ ๓ [**] ไพบูลย์ ๒ ดู (๔๔) เวปุลละ ๒
๑. สมถภาวนา (การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ, การฝึกสมาธิ : tranquillity development)
๒. วิปัสสนาภาวนา (การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามเป็นจริง, การเจริญปัญญา : insight development)
สองอย่างนี้ ในบาลีที่มาท่านเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม และ วิชชาภาคิยธรรม. ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกว่า กรรมฐาน (อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งงานเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต, วิธีฝึกอบรมจิต — stations of mental exercises; mental exercise; สังคห.๕๑ ; Comp. 202)
D.III.273; A.I. 60. ที.ปา. ๑๑/๓๗๙/๒๙๐; องฺ.ทุก.๒๐/๒๗๕/๗๗.
๑. กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ, การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ : physical development)
๒. สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน : moral development)
๓. จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น : cultivation of the heart; emotional development)
๔. ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา : cultivation of wisdom; intellectual development)
ในบาลีที่มา ท่านแสดงภาวนา ๔ นี้ ในรูปที่เป็นคุณบทของบุคคล จึงเป็น ภาวิตกาย ภาวิตศีล ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา (ผู้ได้เจริญกาย ศีล จิต และปัญญาแล้ว) บุคคลที่มีคุณสมบัติชุดนี้ครบถ้วนย่อมเป็นพระอรหันต์
A.III.106 องฺ.ปญจก. ๒๒/๗๙/๑๒๑
๑. มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ (สภาวะอันปรากฏได้เป็นใหญ่ ๆ โต ๆ หรือเป็นต่าง ๆ ได้มากมาย, รูปที่มีอยู่โดยสภาวะ, รูปต้นเดิม ได้แก่ ธาตุ ๔ : primary elements)
๒. อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ๒๔ (รูปอาศัย, รูปที่เป็นไปโดยอาศัยมหาภูต, คุณและอาการแห่งมหาภูต : derivative materiality)
M.II.262; Ps.I.183 ม.อุ. ๑๔/๘๓/๗๕; ขุ.ปฏิ.๓๑/๔๐๓/๒๗๕.
รูป ๒๘ ก็คือรูป ๒ หมวดข้างต้นนี้เอง แต่นับข้อย่อย กล่าวคือ
๑. มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ (รูปใหญ่, รูปเดิม : primary elements; great essentials) ดู (๓๙)
๒. อุปาทายรูป ๒๔ (รูปอาศัย, รูปสืบเนื่อง : derived material qualities) ดู (๔๐)
Comp.157. สงฺคห.๓๓.
๑. ปฐวีธาตุ (สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่, สภาพอันเป็นหลักที่ตั้งที่อาศัยแห่งสหชาตรูป เรียกสามัญว่า ธาตุแข้นแข็ง หรือ ธาตุดิน : element of extension; solid element; earth)
๒. อาโปธาตุ (สภาวะที่เอิบอาบหรือดูดซึม หรือซ่านไป ขยายขนาด ผนึก พูนเข้าด้วยกัน เรียกสามัญว่า ธาตุเหลว หรือ ธาตุน้ำ : element of cohesion; fluid element; water)
๓. เตโชธาตุ (สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ : element of heat or radiation; heating element; fire)
๔. วาโยธาตุ (สภาวะที่ทำให้สั่นไหวเคลื่อนที่ และค้ำจุน เรียกสามัญว่า ธาตุลม : element of vibration or motion; air element; wind)
สี่อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธาตุ ๔
D.I.214; Vism. 443; Comp. 154. ที.สี.๙/๓๔๓/๒๗๗; วิสุทธิ.๓/๑๑; สงฺคห.๓๓
ก. ปสาทรูป ๕ (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์: sensitive material qualities)
๑. จักขุ (ตา — the eye)
๒. โสต (หู — the ear)
๓. ฆาน (จมูก — the nose)
๔. ชิวหา ( ลิ้น — the tongue)
๕. กาย ( กาย — the body)
ข. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป ๕ (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ : material qualities of sense-fields)
๖. รูปะ (รูป — form)
๗. สัททะ (เสียง — sound)
๘. คันธะ (กลิ่น — smell)
๙. รสะ (รส — taste)
๐. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย — tangible objects) ข้อนี้ไม่นับเพราะเป็นอันเดียวกับมหาภูต ๓ คือ ปฐวี เตโช และ วาโย ที่กล่าวแล้วในมหาภูต
ค. ภาวรูป ๒ (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ — material qualities of sex)
๑๐. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง — femininity)
๑๑. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย — masculinity)
ง. หทยรูป ๑ (รูปคือหทัย — physical basis of mind)
๑๒. หทัยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ — heart-base)
จ. ชีวิตรูป ๑ (รูปที่เป็นชีวิต — material qualities of life)
๑๓. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต — life-faculty; vitality; vital force)
ฉ. อาหารรูป ๑ (รูปคืออาหาร — material quality of nutrition)
๑๔. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน : edible food; nutriment)
ช. ปริจเฉทรูป ๑ (รูปที่กำหนดเทศะ : material quality of delimitation)
๑๕. อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง : space-element)
ญ. วิญญัติรูป ๒ (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย : material intimation; gesture)
๑๖. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย : bodily intimation; gesture)
๑๗. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา : verbal intimation; speech)
ฏ. วิการรูป ๕ (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้ : material quality of plasticity or alterability)
๑๘. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา — lightness; agility)
๑๙. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)
๒๐. (รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wieldiness)
๐. วิญญัติรูป ๒ ไม่นับเพราะซ้ำในข้อ ญ.
ฏ. ลักขณรูป ๔ (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด : material quality of salient features)
๒๑. (รูปัสส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น : growth; integration)
๒๒. (รูปัสส) สันตติ (ความสืบต่อ : continuity)
๒๓. (รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay)
๒๔. (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย : impermanence)
Dhs. 127; Vism.443; Comp.155 อภิ.สํ.๓๔/๕๐๔/๑๘๕; วิสุทธิ.๓/๑๑; สงฺคห.๓๔
๑. อุปาทินนกรูป (รูปที่กรรมยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่รูปที่เกิดจากกรรม : karmically grasped materiality; clung-to materiality; organic matter)
๒. อนุปาทินนกรูป (รูปที่กรรมยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่รูปที่เกิดจากกรรม : karmically grasped materiality; not-clung-to materiality; inorganic matter)
Vbh.14; Vism.450; Comp.159 อภิ.วิ.๓๕/๓๖/๑๙; วิสุทธิ.๓/๒๐; สงฺคห.๓๕.
๑. อามิสฤทธิ์ (อามิสเป็นฤทธิ์, ความสำเร็จหรือความรุ่งเรืองทางวัตถุ : achievement of carnality; material or carnal prosperity)
๒. ธรรมฤทธิ์ (ธรรมเป็นฤทธิ์, ความสำเร็จหรือความรุ่งเรืองทางธรรม : achievement of righteousness; doctrinal or spiritual prosperity)
A.I.93. องฺ.ทุก.๒๐/๔๐๓/๑๑๗. (**) โลกบาลธรรม ๒ ดู (๒๓) ธรรมคุ้มครองโลก ๒
๑. เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ : deliverance of mind; liberation by concentration)
๒. ปัญญาวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง : deliverance through insight; liberation through wisdom)
A.I.60 องฺ.ทุก.๒๐/๒๗๖/๗๘ (**) เวทนา ๒ ดู (๑๐๙) เวทนา ๒
๑. อามิสเวปุลละ (อามิสไพบูลย์, ความไพบูลย์แห่งอามิส — abundance of material things; material abundance)
๒. ธัมมเวปุลละ (ธรรมไพบูลย์, ความไพบูลย์แห่งธรรม — abundance of virtues; doctrinal or spiritual abundance)
A.I.93. องฺ. ทุก. ๒๐/๔๐๗/๑๑๗.
๑. อุปจารสมาธิ (สมาธิเฉียด ๆ, สมาธิจวนจะแน่วแน่ : access concentration)
๒. อัปปนาสมาธิ (สมาธิแน่วแน่, สมาธิแนบสนิท, สมาธิในฌาน — attainment concentration)
Vism.85, 371. วิสุทธิ.๑/๑๐๕; ๒/๑๙๔
๑. ขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ — momentary concentration)
๒. อุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแน่วแน่ — access concentration)
๓. อัปปนาสมาธิ (สมาธิแน่วแน่ — attainment concentration)
DhsA.117; Vism.144. สงฺคณี อ.๒๐๗; วิสุทธิ.๑/๘๔.
๑. สุญญตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาเห็นความว่าง ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนัตตลักษณะ — concentration on the void)
๒. อนิมิตตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนิจจลักษณะ — concentration on the signless)
๓. อัปปณิหิตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีความตั้งปรารถนา ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดทุกขลักษณะ : concentration on the desireless or non-hankering)
ดู (๑๐๖) วิโมกข์ ๓
D.III.219; A.I.299; Ps.I.49. ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑; องฺ.ติก.๒๐/๕๙๘/๓๘๕; ขุ.ปฏิ.๓๑/๙๒/๗๐.
๑. อุปาทินนกสังขาร (สังขารที่กรรมยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่ อุปาทินนธรรม : karmically grasped phenomena)
๒. อนุปาทินนกสังขาร (สังขารที่กรรมไม่ยึดครองหรือเกาะกุม ได้แก่ อนุปาทินนธรรมทั้งหมด เว้นแต่อสังขตธาตุ คือนิพพาน : karmically ungrasped phenomena)
ดู (๒๒) ธรรม ๒; (๔๑) รูป ๒; (๑๑๘) สังขาร ๓; (๑๘๒) สังขาร ๔ ด้วย
A.A.IV.50 องฺ.อ.๓/๒๒๓; วิภงฺค.อ.๕๙๖
๑. อามิสสังคหะ (อามิสสงเคราะห์, สงเคราะห์ด้วยอามิส : supporting with requisites; material aid)
๒. ธัมมสังคหะ (ธรรมสงเคราะห์, สงเคราะห์ด้วยธรรม : aiding by teaching or showing truth; spiritual aid)
A.I.91. องฺ.ทุก. ๒๐/๓๙๓/๑๑๕.
๑. สมมติสัจจะ (ความจริงโดยสมมุติ, ความจริงที่ถือตามความกำหนดตกลงกันไว้ของชาวโลก เช่นว่า คน สัตว์ โต๊ะ หนังสือ เป็นต้น : conventional truth)
๒. ปรมัตถสัจจะ (ความจริงโดยปรมัตถ์, ความจริงตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะและเท่าที่จะกล่าวถึงได้ เช่นว่า รูป นาม เวทนา จิต เจตสิก เป็นต้น : absolute truth)
AA.I.95; KvuA.34 องฺ.อ.๑/๑๐๐; ปญฺจ.อ.๑๕๓,๑๘๒,๒๔๑; ฯลฯ
๑. ปริยัติศาสนา (คำสอนฝ่ายปริยัติ, คำสอนอันจะต้องเล่าเรียนหรือจะต้องช่ำชอง ได้แก่ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละ — teaching to be studied or mastered; textual or scriptural teaching; dispensation as text) = (๒๙๐) นวังคสัตถุสาสน์
๒. ปฏิบัติศาสนา (คำสอนฝ่ายปฏิบัติ, คำสอนที่จะต้องปฏิบัติ ได้แก่ สัมมาปฏิปทา อนุโลมปฏิปทา อปัจจนีกปฏิปทา (ปฏิปทาที่ไม่ขัดขวาง) อันวัตถปฏิปทา (ปฏิปทาที่เป็นไปตามความมุ่งหมาย) ธัมมานุธัมมปฏิปทา (ปฏิบัติธรรมอันถูกหลัก) กล่าวคือ การบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ (๑๒๗) ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค สติสัมปชัญญะ (๑๗๙) สติปัฏฐาน ๔ (๑๕๕) สัมมัปปธาน ๔ (๒๐๕) อิทธิบาท ๔ (๑๔๖) อินทรีย์ ๕ (๒๒๐) พละ ๕ (๒๖๖) โพชฌงค์ ๗ (๒๗๘) มรรคมีองค์ ๘ — teaching to be practiced; practical teaching; dispensation as practice) ที่เป็นสำคัญในหมวดนี้ ก็คือ (๓๓๘) โพธิปักขิยธรรม ๓๗.
Nd1 143. ขุ.ม.๒๙/๒๓๒/๑๗๕.
๑. กายิกสุข (สุขทางกาย — bodily happiness)
๒. เจตสิกสุข (สุขทางใจ — mental happiness)
A.I.80. องฺ.ทุก.๒๐/๓๑๕/๑๐๑.
๑. สามิสสุข (สุขอิงอามิส, สุขอาศัยเหยื่อล่อ, สุขจากวัตถุคือกามคุณ — carnal or sensual happiness)
๒. นิรามิสสุข (สุขไม่อิงอามิส, สุขไม่ต้องอาศัยเหยื่อล่อ, สุขปลอดโปร่งเพราะใจสงบ หรือได้รู้แจ้งตามเป็นจริง — happiness independent of material things or sensual desires; spiritual happiness)
A.I.80. องฺ.ทุก.๒๐/๓๑๓/๑๐๑.
๑. ปริยายสุทธิ (ความบริสุทธิ์บางส่วน, หมดจดในบางแง่บางด้าน ได้แก่ ความบริสุทธิ์ของปุถุชนจนถึงพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ที่ครองตนบริสุทธิ์ด้วยข้อปฏิบัติหรือธรรมที่ตนเข้าถึงบางอย่าง แต่ยังกิจในการละและเจริญซึ่งจะต้องทำต่อไปอีก — partial purity)
๒. นิปปริยายสุทธิ (ความบริสุทธิ์สิ้นเชิง, หมดจดแท้จริงเต็มความหมาย ได้แกความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ผู้เสร็จกิจในการเจริญธรรม ครองตนไร้มลทินทุกประการ : absolute purity)
AA.I.293-4 องฺ.อ.๒/๔ (**) อรหันต์ ๒ ดู (๖๑) อรหันต์ ๒
๑. เสขะ (พระเสขะ, พระผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่พระอริยบุคคล ๗ เบื้องต้นในจำนวน ๘ — the learner)
๒. อเสขะ (พระอเสขะ, พระผู้ไม่ต้องศึกษา ได้แก่ผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว : the adept)
A.I.62. องฺ.ทุก.๒๐/๒๘๐/๘๐.
๑. โสดาบัน (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, “ผู้ถึงกระแส” — Stream-Enterer)
๒. สกทาคามี (ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, “ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว” — Once-Returner)
๓. อนาคามี (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, “ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก” — Non-Returner)
๔. อรหันต์ (ท่านผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, “ผู้ควร” “ผู้หักกำแห่งสงสารแล้ว” — the Worthy One)
ดู (๑๖๓) มรรค ๔; (๓๑๗) สังโยชน์ ๑๐
D.I.156. นัย ที.สี.๙/๒๕๐-๒๕๓/๑๙๙-๒๐๐.
๑. โสดาบัน (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล — one who has entered the stream; one established in the Fruition of Stream-Entry; Stream-Enterer)
๒. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล (พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry)
๓. สกทาคามี (ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล — one who is a Once-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning)
๔. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล (พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Once-Returning; one established in the Path of Once-Returning)
๕ อนาคามี (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล — one who is a Non-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning)
๖. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล (พระตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Non-Returning; one established in the Path of Non-Returning)
๗. อรหันต์ (ท่านผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล — one who is an Arahant; one established in the Fruition of Arahantship)
๘. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล (พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Arahantship; one established in the Path of Arahantship
ดู (๑๖๓-๔) มรรค ๔ ผล ๔ ด้วย.
D.III.255; A.IV. 291; Pug 73. ที.ปา. ๑๑/๓๔๒/๒๖๗; องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๙/๓๐๑; อภิ.ปุ.๓๖/๑๕๐/๒๓๓.
๑. เอกพีชี (ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต — the Single-Seed)
๒. โกลังโกละ (ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพ ก็จักบรรลุอรหัต — the Clan-to-Clan)
๓. สัตตักขัตตุงปรมะ (ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต — the Seven-Times-at-Most)
A.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74 องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙/; อภิ.ปุ.๓๖/๔๗-๙/๑๔๗.
พระสกทาคามีนี้ ในบาลีมิได้แยกประเภทไว้ แต่ในคัมภีร์รุ่นหลังแยกประเภทไว้หลายอย่าง เช่น ในคัมภีร์ ปรมัตถโชติกา แยกไว้เป็น ๓ ประเภท คือ ผู้ได้บรรลุผลนั้น ในกามภพ ๑ ในรูปภพ ๑ ในอรูปภพ ๑
ในคัมภีร์ ปรมัตถมัญชุสา จำแนกไว้ ๕ ประเภท คือ ผู้บรรลุในโลกนี้แล้วปรินิพพานในโลกนี้เอง ๑ ผู้บรรลุในโลกนี้แล้ว ปรินิพพานในเทวโลก ๑ ผู้บรรลุในเทวโลกแล้วปรินิพพานในเทวโลกนั้นเอง ๑ ผู้บรรลุในเทวโลกแล้ว เกิดในโลกนี้จึงปรินิพพาน ๑ ผู้บรรลุในโลกนี้แล้ว ไปเกิดในเทวโลกหมดอายุแล้ว กลับมาเกิดในโลกนี้จึงปรินิพพาน ๑ และอธิบายต่อท้ายว่า พระสกทาคามีที่กล่าวถึงในบาลีหมายเอาประเภทที่ ๕ อย่างเดียว
นอกจากนี้ ที่ท่านแบ่งออกเป็น ๔ บ้าง ๑๒ บ้าง ก็มี แต่จะไม่กล่าวไว้ในที่นี้
KhA.182. ขุทฺทก.อ.๑๙๙; วิสุทฺธิ. ฏีกา ๓/๖๕๕.
๑. อันตราปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานในระหว่าง คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้ว อายุยังไม่ถึงกึ่ง ก็ปรินิพพานโดยกิเลสปรินิพพาน — one who attains Parinibbana within the first half life-span)
๒. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้จวนจะถึงจึงปรินิพพาน คือ อายุพ้นกึ่งแล้ว จวนจะถึงสิ้นอายุจึงปรินิพพาน — one who attains Parinibbana after the first half life-span)
๓. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก — one who attains Parinibbana without exertion)
๔. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก — one who attains Parinibbana with exertion)
๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน — one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer bound for the Not-Junior Gods)
A.I. 233; IV. 14,70,380; V. 120; Pug.16 องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙; อภิ.ปุ.๓๖/๕๒-๖/๑๔๘.
๑. สุกขวิปัสสก (ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ว คือ ท่านผู้มิได้ฌาน สำเร็จอรหัตด้วยเจริญแต่วิปัสสนาล้วน ๆ — the dry-visioned; bare-insight worker)
๒. สมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือ ท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จอรหัต — one whose vehicle is tranquillity; the quiet-vehicled)
KhA.178,183; Vism.587,666. ขุทฺทก.อ.๒๐๐; วิสุทธิ.๓/๒๐๖,๓๑๒; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๓๙๘; ๕๗๙.
๑. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน — bare-insight-worker)
๒. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓ — one with the Threefold Knowledge)
๓. ฉฬภิญฺโ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one with the Sixfold Superknowledge)
๔. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา — one having att...the Analytic Insights)
พระอรหันต์ทั้ง ๔ ในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประมวลแสดงไว้ในหนังสือธรรมวิภาคปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๔๑ พึงทราบคำอธิบายตามที่มาเฉพาะของคำนั้นๆ
แต่คัมภีร์ทั้งหลายนิยมจำแนกเป็น ๒ อย่าง เหมือนในหมวดก่อนบ้าง เป็น ๕ อย่างบ้าง ที่เป็น ๕ คือ
๑. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา — one liberated by wisdom)
๒. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)
๓. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ — one possessing the Threefold Knowledge)
๔. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one possessing the Sixfold Superknowledge)
๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ — one having gained the Four Analytic Insights)
ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท) พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญา ก็มี ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้น ประกอบความเพียรไว้เก่าและการบรรลุอรหัต
พระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้น แต่ละประเภท จำแนกโดยวิโมกข์ ๓ รวมเป็น ๑๕ จำแนกออกไปอีกโดยปฏิปทา ๔ จึงรวมเป็น ๖๐ ความละเอียดในข้อนี้จะไม่แสดงไว้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ ผู้ต้องการทราบยิ่งขึ้นไป พึงดูในหนังสือนี้ฉบับใหญ่
ดู (๖๑) อรหันต์ ๒; (๑๐๕) วิชชา ๓; (๑๕๔) ปฏิสัมภิทา ๔; (๒๖๐) อภิญญา ๖.
Vism. 710. วิสุทธิ.๓/๓๗๓; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๖๕๗.
๑. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสว๘ ด้วยกายและสิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุตติขั้นอรูปสมบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)
๒. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา คือ ท่านที่มิได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกายแต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติก็สำเร็จเลยทีเดียว — one liberated by understanding)
๓. กายสักขี (ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือ ผู้ประจักษ์กับตัว คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — the body-witness)
๔. ทิฏฐิปปัตตะ (ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one attained to right view)
๕. สัทธาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านทีเข้าในอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one liberated by faith)
๖. ธัมมานุสารี (ผู้แล่นไปตามธรรม หรือผู้แล่นตามไปด้วยธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ — the truth-devotee)
๗. สัทธานุสารี (ผู้แล่นไปตามศรัทธา หรือผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต — the faith devotee)
D.III. 105,254;
Vism.659. ที.ปา.๑๑/๘๐/๑๑๕; ๓๓๖/๒๖๖;
องฺ.ติก.๒๐/๔๖๐/๑๔๘; ขุ.ปฏิ. ๓๑/๔๙๓-๕/๓๘๐-๓;
อภิ.ปุ.๓๖/๑๓/๑๓๙; วิสุทธิ.๓/๓๐๒; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๕๖๒-๕๖๘.
๑. อสนฺตุฏฺฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ (ความไม่สันโดษในกุศลธรรม, ความไม่รู้อิ่มไม่รู้พอในการสร้างความดีและสิ่งที่ดี — discontent in moral states; discontent with good achievements)
๒. อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ (ความไม่ระย่อในการพากเพียร, การเพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปไม่ยอมถอยหลัง — perseverance in exertion; unfaltering effort)
D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234. ที.ปา.๑๑/๒๒๗/๒๒๗; องฺ.ทุก.๒๐/๒๕๑/๖๔; ๔๒๒/๑๑๙; อภิ.สํ.๓๔/๑๕/๘; ๘๗๕/๓๓๙