กลอนธรรมะ อ่านง่ายๆ ตอน กงล้อ ตะวัน จันทรา
กลอนธรรมะ เรื่อง มัฏฐกุณฑลี
(อ่านว่า มัด – ทะ –กุน – ทะ- ลี) แปลว่า ผู้มีตุ้มหูอันเกลี้ยง หรือ ผู้มีตุ้มหูที่สวยงามนั่นเอง
อทินนปุพกะ อ่านว่า อะ-ทิน-นะ-ปุพ-พะ-กะ แปลว่า ผู้ไม่เคยให้ใครก่อน
ในคราวหนึ่ง ในนคร สาวัตถี
พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงตรัสถึง
อทินน ปุพพกะ พราหมณ์ผู้นึง
ทรงตรัสถึง มูลเหตุ วิเศษธรรม
พราหมณ์ผู้นี้ มีนิสัย ใจตระหนี่
ไม่เคยมี น้ำใจ ให้ใครเขา
มีความงก ความขี้เหนียว มิใช่เบา
ไม่เคยเอา ทรัพย์ช่วยเหลือ จุนเจือใคร
ในคราวที่ มีลูกชาย ได้สืบทอด
เขาอุ้มกอด ดีใจ เป็นหนักหนา
สั่งช่างทอง ทำตุ้มหู ดูงามตา
เป็นที่มา ฉายาชื่อ ของบุตรชาย
พออายุ ได้สิบหก ตกคราวร้าย
ป่วยเป็นไข้ อาการหนัก ต้องรักษา
พราหมณ์ก็วิ่ง ไปหาหมอ ขอสูตรยา
ไม่ยอมพา หมอมาอยู่ ดูอาการ
กลัวจะเสีย เงินค่าจ้าง ให้ทางหมอ
กลับไปขอ ให้หมอบอก สูตรของเขา
หมอก็บอก สูตรยา ขนานเบา
เพราะว่าเขา ไม่ได้รู้ ดูอาการ
สูตรที่ให้ สมุนไพร แค่เล็กน้อย
พราหมณ์จึงค่อย เลือกมาต้ม ชมว่าศรี
ไม่ถูกโรค ถูกอาการ พาลไม่ดี
อาการมี แต่ทรุดแย่ แพ้ตัวยา
เสียน้อย ไม่ยอมเสีย ยอมเสียมาก
ต้องเอ่ยปาก เรียกหมอ มารักษา
แต่ช้าไป ระยะไข้ เกินเวลา
หมอบอกว่า หมดปัญญา จะแก้คืน
ลูกก็นอน รอความตาย อยู่ในบ้าน
อีกไม่นาน จะถึงฆาต ขาดใจหนอ
แต่ยังมี สติดี รู้ตัวพอ
รู้ว่าพ่อ ของตัวเอง เกรงเสียเงิน
พราหมณ์จะเสีย ลูกชาย ไม่วายงก
กลับให้ยก ลูกชาย มานอกบ้าน
กลัวว่าญาติ มาเยี่ยม จะอยู่นาน
เห็นในบ้าน มีเงินทอง จะจ้องยืม
พระพุทธองค์ ทรงทราบแล้ว เรื่องทั้งหมด
ทรงกำหนด วันรุ่งขึ้น จะไปหา
จะทรงให้ ลูกชาย สอนบิดา
แม้ชะตา ของลูกชาย จะวายลง
วันรุ่งขึ้น พระองค์ทรง บิณฑบาต
ด้วยอำนาจ บารมี ที่สร้างสรรค์
เปล่งรัศมี สีทอง ผ่องอำพัน
เห็นทั่วกัน ทั้งเมือง แสงเรืองรอง
ลูกชายพราหมณ์ นอนอยู่ ก็ดูเห็น
ใจสงบเย็น รวบรวมจิต อธิฐาน
ขอเลื่อมใส ในพระพุทธ สุดเบิกบาน
แค่ไม่นาน กายสะดุด หยุดหายใจ
บังเกิดแล้ว เป็นเทพบุตร ในสวรรค์
มีวิมาน ทำด้วยทอง ผ่องเหลือหลาย
ก็หวนนึก ทำดีอะไร ก่อนจะตาย
ก็นึกได้ เพราะเลื่อมใส ในพระองค์
แล้วมองย้อน มาเห็น พราหมณ์ผู้พ่อ
ร้องไห้ต่อ หน้าศพเรา เอาไปเผา
ไฟไหม้แล้ว หมดไปแล้ว กายของเรา
พ่อก็เอา แต่ร้องไห้ ไม่คลายลง
แม้ทุกวัน ก็ยังเดิน ไปป่าช้า
มือปิดหน้า ร้องไห้ ไม่อายเขา
คอยตะโกน ร้องเรียกหา แต่ตัวเรา
ลูกน้อยเจ้า อยู่ไหน ไม่เห็นเลย
จึงเนรมิต กายให้ คล้ายหนุ่มน้อย
ไปดักคอย บิดา ในป่าช้า
พอเห็นว่า บิดา เดินเข้ามา
ก็ทำท่า ร้องไห้ แทบขาดใจ
พราหมณ์ก็ถาม เป็นอะไร หรือพ่อหนุ่ม
มีเรื่องกลุ้ม อันใด ให้ปรึกษา
เดินเข้าไป ใกล้ใกล้ เห็นชัดตา
ก็เห็นว่า หน้าตา คล้ายลูกชาย
ความที่คิด ถึงลูกชาย ที่ตายแล้ว
ก็ไม่แคล้ว รักใคร่ เอ็นดูเขา
เหมือนลูกชาย ที่รัก ของตัวเรา
คิดจะเอา เขามาเป็น ลูกชายแทน
เจ้าอยากได้ สิ่งใด ขอให้กล่าว
ถึงเรื่องราว ความทุกข์ จุกอกหนอ
จะสรรหา ให้ได้ จนเกินพอ
อะไรหนอ เจ้าอยากได้ ให้บอกมา
หนุ่มน้อยเล่า ว่าตัวเรา นั้นมีรถ
สวยหมดจด งดงาม แต่ขาดล้อ
ดวงตะวัน และดวงเดือน เท่านั้นพอ
มาเป็นล้อ ให้รถเรา เอามาที
พราหมณ์ก็ว่า เจ้ามันบ้า ไปแล้วหรือ
อยากได้คือ ดวงตะวัน และจันทร์ฉาย
ถึงร้องไห้ เป็นสายเลือด ร้องให้ตาย
ไร้ทางได้ อย่างเจ้าตั้ง หวังในใจ
หนุ่มน้อยว่า ถ้าข้าบ้า แล้วท่านเล่า
จะร้องเอา คนตายแล้ว ได้ที่ไหน
ส่วนของข้า ข้ายังเห็น อยู่นั่นไง
สรุปว่าใคร บ้ากว่ากัน บอกฉันที
พราหมณ์ได้คิด มันก็จริง อย่างเขาว่า
ดวงจันทรา พระอาทิตย์ ก็ยังเห็น
เดี๋ยวขึ้นตก ปรกติ ทุกเช้าเย็น
แต่ไม่เห็น คนเผาแล้ว ฟื้นคืนมา
จึงดับแล้ว ความโศกเศร้า ได้สติ
เจ้าบอกซิ ว่าเป็นใคร มาจากไหน
ดูผิวพรรณ ผุดผ่อง เป็นยองใย
แล้วทำไม ถึงรู้ว่า ลูกข้าตาย
เทพบุตร ก็บอก ออกไปว่า
ตัวฉันหนา ก็คือลูก ของท่านหนอ
แต่เพราะความ งกเงิน จนเกินพอ
ไม่ให้หมอ รักษาเอา เราจึงตาย
พอตายแล้ว ได้ไปเกิด ในสวรรค์
เพราะจิตอัน เลื่อมใสใน พุทธวิถี
เพียงแค่ยก มือไหว้ ตั้งใจดี
ก็ได้มี ชาติกำเนิด เกิดเทวา
ตัวท่านเอง จงเร่ง กลับไปบ้าน
รีบทำทาน สะสมบุญ เป็นทุนหนอ
อย่ามัวงก หวงสมบัติ รู้จักพอ
จงรีบก่อ กรรมดี มีน้ำใจ
จงมีใจ ให้เขาก่อน ในตอนนี้
เมื่อเขามี ก็จะย้อน ตอบแทนหนอ
เห็นเขายาก ลำบาก จงอย่ารอ
ทำบุญต่อ ชีวิตคน กุศลดี
ความชั่วใด อย่ามีใจ ใฝ่จะทำ
เพราะบาปกรรม จะพาตก นรกหนอ
ความดีใด จงรีบทำ อย่ารั้งรอ
ตายตกก็ จะได้เกิด เป็นเทวา