การยินดีในความโกรธก็ไม่ต่างจากการยอมให้จุดไฟกลางป่าแห้งแล้ง
การถูกใส่ร้ายมักทำให้โกรธและเจ็บใจ ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงสอนพระสาวกว่า ถ้าโกรธหรือไม่พอใจคนที่กล่าวติเตียนพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์โดยไม่มีมูล ก็จะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น
พระพุทธองค์ทรงถามว่า ถ้าโกรธแล้ว จะสามารถอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วยความเป็นกลางได้หรือไม่ว่า คำกล่าวร้ายนั้นไม่ถูกต้องตรงไหน อย่างไร พระสาวกต่างยอมรับว่าทำไม่ได้ พระองค์จึงตรัสสอนให้คลี่คลายปัญหาด้วยจิตอันสงบว่า “เธอทั้งหลายพึงแจกแจงและชี้ให้เห็นว่าอะไรไม่จริงโดยบอกว่า ‘แม้ด้วยเหตุผลดังนี้ เรื่องนี้ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่มีอยู่ในตัวเรา และไม่ปรากฏในพวกเรา’ (พรหมชาลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) “
ความคิดที่แพร่หลายในวัฒนธรรมตะวันตกถือกันว่า ในบางกรณี อย่างเช่นการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมนั้น ความโกรธเป็นสิ่งที่ดี และเชื่อกันว่าในกรณีแบบนี้ ถ้าไม่โกรธก็มีแต่เมินเฉยหรือหมดหวังเท่านั้น
ทว่า ในทางพุทธธรรม การยินดีในความโกรธก็ไม่ต่างจากการยอมให้จุดไฟกลางป่าแห้งแล้ง ความโกรธครอบงำจิตใจและบิดเบือนวิจารณญาณ ทำให้ตามัว มองเห็นแต่เรื่องเฉพาะหน้า จิตใจหยาบกระด้าง ไม่เห็นความละเอียดอ่อนและความสลับซับซ้อนของสถานการณ์
ความโกรธทำให้เราเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นยักษ์เป็นมาร ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับผิด พยายามสร้างความชอบธรรมให้แก่ข้อบกพร่องของตน ความโกรธอาจสร้างแรงจูงใจให้ทำอะไรได้ก็จริง แต่เป็นแรงจูงใจที่ขลาดเขลาเบาปัญญา และที่สุดแล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ