ในโลกแห่งความเป็นจริง
ที่แท้โลกนี้คือ หมู่สัตว์ (World of living beings) ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากจุดกำเนิดที่แตกต่างกัน
ดังนั้น สิ่งมีชีวิตในโลกจึงมีหลากหลายชนิดเผ่าพันธุ์ มีทั้งสัตว์
2 เท้า 4 เท้า หลายเท้า และสัตว์เลื้อยคลาน
มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
แต่สัตว์พากันถือโลกนี้ว่า โลกมนุษย์ (World of human beings) เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีมันสมองฉลาดมากกว่าสัตว์ประเภทอื่น
ๆ มนุษย์จึงเข้ายึด และครอบครองโลกนี้เป็นโลกของเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
ด้วยมันสมองที่ใหญ่
มนุษย์จึงสามารถพัฒนาศักยภาพของเผ่าพันธุ์ตนเองขึ้น จากการดำรงชีวิตแบบสัญชาตญาณ
มาเป็นชุมชน สังคม ประเทศ ทวีป และประชาคมโลก หรือสหประชาชาติ(United
Nations) ที่มีการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างสูงสุดของมนุษย์
เมื่อกล่าวถึงการศึกษาศาสนา
และวัฒนธรรม ศาสนาถือว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์
เพราะศาสนาเกิดจากความเชื่อและประสบการณ์ความรู้ของมนุษย์ ที่ต้องการความมั่นใจ
และความปลอดภัยจากความกลัวในสิ่งที่นอกเหนือจากความสามารถของมนุษย์
จึงเกิดมีความเชื่อเรื่องวิญญาณภายนอก และเทพต่าง ๆ ที่มีอำนาจไปจนกระทั่งมีเทพสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว
ที่เรียกว่าพระเป็นเจ้าสูงสุด ที่มนุษย์จะต้องเซ่นสรวงสังเวยเอาใจให้ท่านโปรดปรานประทานพร
ปกป้อง คุ้มครอง รักษาตนเองและเผ่าพันธุ์มนุษย์
พระพุทธศาสนา
เป็นศาสนาหนึ่ง ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ 2,589 ปีที่ผ่านมา มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประกาศพระศาสนา
พระองค์มีพระชนม์อยู่ก่อนพุทธศักราช 80 ปี การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธศาสนาเป็นการเริ่มต้นของการประกาศศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นครั้งแรกในโลก
ให้ชาวโลกได้รู้ว่า มนุษย์ และมนุษย์เท่านั้นที่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้
(Man and only man can become Buddha) และเป็นได้ด้วยกำลังความสามารถแห่งมันสมองที่ประกอบด้วยสติปัญญา
และเรี่ยวแรงแห่งความพยายามด้วยตนเอง ไม่มีใครมากำหนดชี้ชะตาดลบันดาล
หรือใช้อิทธิพลให้กลายเป็นพระพุทธเจ้า ได้
ดังประวัติศาสตร์ปรากฏชัดว่า
พระองค์ทรงลงมือทดลองค้นคว้าด้วยประสบการณ์ตรงด้วยพระองค์เองทุกวิธี
และทุกวิถีทางที่จะบรรลุถึงความดับทุกข์ ที่มีอยู่ประจำในร่างกาย และจิตใจของมวลมนุษยชาติมาช้านานไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ด้วยศักยภาพทางสมองที่ฉลาดสูงสุดจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง
และความพยายามที่สูงส่ง พระองค์จึงเป็นมนุษย์คนแรกในโลกที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้
ด้วยการตรัสรู้ความจริงของสิ่งมีชีวิต ครอบคลุมถึงสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิต
นั่นคือ อริยสัจ 4 ความจริงที่ว่าด้วย ทุกข์
สาเหตุของทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติที่จะระงับดับทุกข์
การตรัสรู้
คือ การรู้แจ้งชัดด้วยปัญญาญาณ ( Enlightened by supreme knowledge)
ในความจริง 4 ประการว่า..
นี้คือ
ทุกข์ ( ทุกข อริยสัจ)
นี้คือ เหตุของทุกข์ (สมุทย อริยสัจ)
นี้คือ ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธ อริยสัจ)
นี้คือ ข้อปฏิบัติที่จะดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
อริยสัจ)
ความรู้ทั้ง
4 นี้เรียกว่า "สัจญาณ" จากนั้น ก็รู้ชัดว่า ทุกข์ ควรกำหนดรู้
เหตุของทุกข์ควรกำจัดให้หมดสิ้น ความดับทุกข์ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดควรทำให้เกิดขึ้น
ข้อปฏิบัติที่จะดับทุกข์ควรลงมือทำให้ถูกต้อง ความรู้ทั้ง 4 นี้ เรียกว่า
"กิจญาณ" จากนั้น ก็รู้ชัดว่าทุกข์นั้นได้กำหนดรู้ชัดแล้ว
เหตุของทุกข์ได้กำจัดให้หมดสิ้นแล้ว ความดับทุกข์ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดนั้น
ได้เกิดผลสำเร็จแล้ว ข้อปฏิบัติที่จะดับทุกข์นั้นได้ลงมือปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว
ความรู้ทั้ง 4 นี้ เรียกว่า "กตญาณ"
จากนั้น
พระพุทธองค์ทรงย้อนหลังไปพิจารณาว่า เพราะเหตุใดมนุษย์จึงผิดพลาด ไม่สามารถบรรลุ
รู้แจ้งชัดถึงความจริงแท้ (อริยสัจ) นี้ได้ ในที่สุด พระองค์จึงได้ข้อสรุปที่แน่นอนว่า
สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถรู้แจ้งชัดถึงความสัจจริงได้นั้น ที่แท้ก็คือ
.
1. มนุษย์หลงหมกมุ่นจมคลุ่กอยู่ก้บความสนุกเพลิดเพลินยินดีในกามคุณ
5 คือ ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ พอใจ
ไม่รู้ว่ามันปิดบังครอบงำทำให้จิตรัก ยึดถือหมายมั่น จนกลายเป็นพันธนาการทางจิตขึ้น
กล่าวคือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา รวมเรียกว่า " กามสุขัลลิกานุโยค
"
2. มนุษย์หลงผิดในข้อปฏิบัติที่จะดับทุกข์ซึ่งผิดทาง
เฉไฉไปทรมานร่างกายให้ลำบากด้วยวิธีการต่าง ๆ หลากหลาย จนตายเปล่าและก็เหนื่อยเปล่ามาแล้วนับไม่ถ้วน
ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพะตะปรามาส รวมเรียกว่า "
อัตตกิลมถานุโยค "
|