สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ นิคมของชาวศักยะ ในแคว้นสักกะ ครั้งนั้นท่านพระอานนท์
ได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น นับว่าเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ทีเดียวนะ
พระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์
ได้ตรัสค้านขึ้นว่า
"อานนท์
! เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก้ความเป็นผู้มีมิตรดี
มีสหายดี และมีเพื่อนดีนั้น นับว่าเป็นพรหมจรรย์หมดทั้งสิ้นที่เดียว
อานนท์
! อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีก็เป็นอันหวังได้แน่นอนว่า
จะได้เจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จะกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์
๘"
ได้ยกเอาพระสูตรสำคัญที่สุด
ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสคัดค้านพระอานนท์ ที่กราบทูลว่า
การมีเพื่อนที่ดี เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เท่านั้น
แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นทั้งหมดทีเดียว
ข้อนี้เป็นที่รับรองของท่านผู้รู้
อย่างชนิดใต้องสงสัยเลยเพราะมีสุภาษิตรับรองอยู่ทั่วไป
เช่น คบคนใด ย่อมเป็นคนเช่นคนนั้น คบคนเลวก็ย่อมเลวตาม
และคบคนดีย่อมดีขึ้นในทันที เป็นต้น
ในมงคล
๓๘ ท่านจึงได้วางหรือจัดเรื่องการไม่คบคนพาลไว้เป็นข้อแรก
และจัดเรื่องการคบกับบัณฑิตไว้เป็นข้อที่ ๒ ทั้งนี้ก็เพราะ
การคบเพื่อนเหมือนกับการเริ่มต้น ของการเดินทาง การคบเพื่อนที่ไม่ดีก็เหมือนการเดินทางผิด
ยิ่งเดินก็ยิ่งผิด ทางที่ถูกก็คือ ต้องตั้งต้น เดินใหม่
นั่นคือการเลือกคบแต่คนดี
ปัญหามีต่อไปว่า
เราจะไม่ได้อย่างไรว่า เพื่อนคนไหนดีหรือไม่ดี ? การคบกันใหม่
ๆ ย่อมจะดูยาก ไม่เหมือนการดูสัตว์บางประเภท เช่น เสือมันก็ยังมีลายหรือสีที่ขนพอให้แยกได
ว่าเป็นเสือหรือประเภทอะไร เป็นต้น
การดูคนดีหรือชั่ว เรามีจุดที่จะดูอยู่ ๓ จุด คือ ที่กายวาจา
และที่ใจของเขา โดยมีศีลธรรม เป็นมาตรวัดดังนี้
ทางกาย
๔ คือ ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดและ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
ทางใจ
๓ คือ ไม่โลภ อยากได้ในทางที่ผิด มีจิตเมตตาไม่ปองร้ายหรือพยาบาท
และ มีความเห็นชอบและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
มีข้อที่ดูยากก็คือทางใจ
แต่ก็พอจะดูได้ เพราะเมื่อใจคิดแล้วมันก็ต้องพูดหรือทำ
ไม่ช้าก็เร็วออกมาจนได้ การคบกันนาน ๆ จึงจะรู้ธาตุแท้หรือสันดานของคนได้แม้จริง
ในอกิตติชาดก
(๒๗/๓๓๗) ท่านแนะให้ดูคนพาล หรือคนชั่วที่ ๕ จุดนับว่าเข้าทีและเป็นไปได้
คือ
-
คนพาลชอบชักและนำในทางที่ผิด
-
คนพาลมักชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระหน้าที่ของตน
-
คนพาลมักจะเห็นผิดเป็นชอบ
-
คนพาลแม้หรือใคร ๆ พูดดี ๆ ก็โกรธ
-
คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัยหรือกฎหมาย
เป็นอันว่า เราได้ทั้งหลัก และแนวทางของการดูคน ว่าดีหรือชั่วแล้ว
ที่นี้ก็อยู่ที่ว่า เราจะเลือกคบกับคนดี หรือคนชั่ว ถ้าเราเลือกคบคนดี
และนึกรังเกียจคนชั่ว ก็แสดงว่าพื้นจิตของเรามีสัมมาทิฐิ
แต่ถ้าจิตของเราเกิด
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คือเห็นผิดเป็นชอบ รังเกียจคนดี
แส่เที่ยวหาคบแต่คนชั่ว ก็แสดงว่าพื้นจิตของเราเป็นมิจฉาทิฐิ
นับว่าเป็นอันตรายมาก ควรรีบแก้ไขเสียโดยด่วน ถ้าขืนปล่อยไปตามนั้นอนาคตที่มองเห็นก็คือ
ไม่ตายตอนแก่แน่ ๆ ขนาดเบาก็มีคุกเป็นบ้านถาวร
คนเราเป็นสัตว์สังคม
จึงจำเป็นต้องคบหาเพื่อนฝูง ไม่มีเพื่อนมากก็ต้องมีน้อย
เพราะไม่มีใครจะอยู่คนเดียวในโลกได้
การคบเพื่อนที่ดี
ย่อมจะนำแต่ความสุข และความเจริญมาให้ในทางตรงข้า ถ้าคบเพื่อนชั่วหรือพาล
ย่อมจะนำความทุกข์เดือดร้อนและความเสื่อมนานาประการมาให้
ดังนั้นใครมีเพื่อนที่ดีอยู่แล้ว
ก็ควรจะถนอมน้ำใจด้วยการปฏิบัติตาม "สังคหวัตถุ ๔"
อย่างสม่ำเสมอ ก็ย่อมจะผูกน้ำใจเพื่อนที่ดีไว้ได้ ตลอดกาล
ถ้ามีเพื่อนเป็นคนชั่ว
ก็ควรเร่งถอนตัว ตีจากเสียให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันทุกข์ภัย
ที่จะมีในปัจจุบัน และในอนาคต
ทางแก้
๑.
พิจารณาให้เห็นโทษ ของการคบกับคนชั่ว และคุณของการคบกับคนดี
อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และต้องตัดใจเลิกคบกับคนชั่วให้ได้ด้วยวิธีการต่าง
ๆ เช่น
ก.
เลิกคบกันทันทีทันใด ถ้าคิดว่าทำแล้วจะไม่เกิดมีทุกข์หรือภัยตามมาภายหลัง
ข.
ค่อย ๆ แยกหรือปลีกตัวออกมา โดยที่ไม่ให้เขารู้ตัว
ค.
ตัดสายสัมพันธ์ ที่เป็นสื่อเชื่อมโยงออกให้หมด
๒.
ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกัน หรือทำงานร่วมกันก็อาจขอย้ายห้องย้ายโรงเรียน
หรือเปลี่ยนงานใหม่ ก็แล้วแต่กรณี
๓.
ย้ายบ้าน อย่าอยู่ใกล้ชิดกันอีกต่อไป
๔.
เลือกคบหาคนดีไว้ทดแทน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่อาจจะอยูโดดเดี่ยวได้
เป็นธรรมดาอยู่เอง
เมื่อเราคบกับคนชั่ว คนดีก็ย่อมรังเกียจไม่คบหาด้วย และเมื่อเราเลิกคบกับคนชั่ว
คนดีก็ย่อมคบหาด้วย อย่ากลัวเลยว่า จะหาคนดีคบไม่ได้ ขอแต่ว่าให้เราเป็นคนดีจริง
ๆ เถอะ อย่าเป็นคนประเภท "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ"
ก็แล้วกัน
ทุกวันนี้
โลกเราหนาแน่นไปด้วยคนมีความรู้ มีดีกรีสูงแต่ขาดแคลนคนดีหรือบัณฑิต
(ผู้มีปัญญา) ยิ่งนัก
|