เมื่อเห็นหัวเรื่องนี้ หลายท่านคงจะเกิดความสงสัยขึ้นมาตะหงิด
ๆ ละสิว่า มีด้วยหรือทุกข์เพราะบุญ ? ขอตอบว่า มี และมีอยู่ทั่วไปเสียด้วย
เอ๊ะ
....ก็ไหนว่าบุญเป็นชื่อของความดี หรือความสุข ไฉนการทำบุญจึงต้องมีความทุกข์ด้วบเล่า
? เอ...ชักจะเขียนเลอะเทอะเสียแล้ว กระมัง ? ไม่หรอก !
ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เกิดจาการ เราทำไม่ถูกบุญ และไม่ถึงบุญด้วยมันจึงเกิดความทุกข์ขึ้น
เช่น
-
อยากสร้างพระพุทธรูป สร้างศาลา สร้างกุฏิ สร้างพระไตรปิฎก
สร้าง..แต่ท่านสมภารไม่ต้องการ จะเป็นเพราะมีมากแล้วหรือเหตุใดก็ตาม
-
อยากไปทำบุญวัดนี้ แต่ไม่ชอบหน้าท่านสมภาร หรือพระลูกวัดบางรูป
จะไปทำวัดอื่นก็ไม่มี หรือมีแต่อยู่ไกล
-
อยากให้วัดข้างบ้านมีการศึกษาและปฏิบัติธรรมและนำมาสอนชาวบ้านบ้าง
แต่ก็ไม่มีตามต้องการ
-
อยากให้พระท่านต่อชะตา ต่ออายุ เป่าหัวให้โชกดี ผูกดวงให้ท่านก็ไม่ทำให้
-
อยากไปวัด แต่ก็เบื่อการรีดไถ การก่อสร้าง หรือการเรี่ยไรบอกบุญทั้งปีของวัด
-
อยากทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ทำไม่ได้ เพราะยากจน
ต้องไปทำงานทุกวัน อยาก ฯลฯ
ความอยากอะไรก็ตาม
ถ้าไม่ได้สนองความอยาก มันก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง ท่าน
พ.อ. ปิ่น มุทุกันต์ ท่านว่าเป็น "ความทุกข์ของนักบุญ"
คือทุกข์เพราะอยากทำดี แล้วไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้
ทั้งนี้และทั้งนั้น
ก็เกิดจากความไม่เข้าใจ ในเรื่องของการทำบุญนั่นเอง ถ้ารู้จัก
"ตัวบุญ" อย่างถูกต้องและแท้จริงแล้ว การทำบุญก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งกว่าการพลิกฝ่ามือคว่ำหรือหงาย
ไม่ต้องใช้เงินและใช้เวลา หรือแรงงานเสียด้วยสิ
ในปุญญกิริยาวัตถุสูตร
(๒๒/๒๑๕) พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องการทำบุญไว้ ๓ ประการคือ
๑.
บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยทาน
๒.
บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยศีล
๓.
บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยภาวนา
ส่วนในอรรถกถา ท่านได้ขยาออกไปอีก
๗ ประการ คือ
๔.
อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการ ประพฤติอ่อนน้อม)
๕.
เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการ ขวนขวายรับใช้)
๖.
ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการ ให้ความดีแก่ผู้อื่น)
๗.
ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการ ยินดีบุญของผู้อื่น)
๘.
ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการ ฟัง-อ่านธรรมะ)
๙.
ธัมมัสเทสนามัย (ทำบุญด้วยการ สั่งสอนธรรมะ)
๑๐.
ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการ ทำความเห็นให้ตรง)
หลักการทำความดีในพุทธศาสนา ทั้งหมดมีอยู่ ๓ พวกใหญ่ๆ
คือทาน ศีล และภาวะนา แม้จะขยายออกไปอีก ๗ ข้อ ก็ไม่มีทาน
คือ ไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งของหรือเงินเลย
ผู้ที่อยากทำโน่นทำนี่
แล้วไม่ได้ทำนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของทาน ถ้าเป้นการทำบุญด้วยศีล
ด้วยภาวนาและต่อไปอีก ๗ ข้อแล้ว ก็เกือบไม่ต้องใช้เงินเลย
เช่น
การรักษาศีล
ทำที่ไหนก็ได้ ทำวันไหนก็ได้ รักษาศีล ๘ ไม่ได้ ก็เอาแต่ศีล
๕ ไปก่อน ก็ดีมากแล้วสำหรับชาวบ้าน ไปรับกับพระที่วัดไม่ได้
ก็ตั้งใจเจตนางดเว้นเอาเอง หรือรับทางวิทยุอยุ่กับบ้านก็ได้
-
การเจริญภาวนา ด้วยการทำสมาธิ- วิปัสสนา ศึกษาวิธีการและความหมายให้เข้าใจ
แล้วจะทำที่ไหนก็ได้ จะนั่งทำ เดินทำยืนทำหรือนอนทำ
-
อีก ๗ ข้อต่อไป ไม่ไปวัดไม่ต้องหยุดงานก็ทำได้ ไม่มีอะไรขัดข้อง
ถ้าเราตั้งในจริงที่จะทำ
ชาวพุทธส่วนมากมักจะติดอยู่แต่ทานเห็นคนอื่นเขาทำกันโครม
ๆ ก็อยากจะทำตามเขาบ้าง แต่วัตถุมันไม่อำนวยก็เลยมีความทุกข์ใจ
น้อยใจในวาสนาของตน
การทำบุญหรือทำความดี
ในทางพุทธศาสนานั้น จะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน
จึงจะถือว่าเป็นบุญด้วยการรักษาศีล และเจริญภาวนาก็ได้
แถมเป็นบุญที่สูงกว่า และประเสริฐกว่า ชนิดเทียบกันไม่ได้เลยเพราะสามารถตัดเวรภัย
ทำให้หมดภพชาติ และดับทุกข์สิ้นเชิงได้ด้วย
ดังนั้น
ชาวพุทธที่ดี จึงไม่ควรที่จะติดอยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่ง
ไม่ว่า ใน ๓ ขั้นหรืออีก ๗ ขั้นก็ตาม การอ้างว่าไม่มีเงินไม่มีเวลา
แล้วไม่ไปทำบุญ เป็นการอ้างของคนปัญญานิ่ม ไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
หรืออย่างถูกต้อง
แต่ว่าก็ว่าเถอะ คนที่ชอบอ้างที่ว่านี้ส่วนมากก็เป็นคนไม่ชอบไปวัดไปว่า
ไม่สนใจธรรมะธัมโมอยู่แล้ว แต่ยังเกรงคนอื่นเขาจะไม่มีศาสนาก็เลยยกเอางานและเงิน
มาเป็นกำแพงกั้นแบบ "ขายผ้าเอาหน้ารอด"ไว้ก่อน
ทางแก้
๑.
หลักใหญ่ของคำสอนทางพุทธศาสนามีอยู่ ๓ ขั้น คือ ทาน ศีล
ภาวนา ควรทำให้ครบทั้ง ๓ ขั้น ถ้าขั้นไหนทำไม่ได้ทำไม่สะดวกก็ควรจะเลื่อนไปทำในขั้นต่อไป
ไม่ควรย่ำเท้าอยู่กับที่ เพราะจะไม่ได้พบสิ่งสูงสุดในพุทธศาสนา
๒.
พุทธศาสนาให้อิสระเสรีในการทำความดี ไม่มีขีดขั้น พอใจทำก็จงทำ
ไม่พอใจหรือไม่นับถือ ก็ไม่ต้องทำ ไม่ตอ้งนับถืออย่าเอาข้ออ้างมาเป็นฉาก
๓.
การทำความดีหรอืทำบุญ ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่าเห็นแก่หน้าหรือค่านิยม
จะได้บุญแรง
๔.
ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่ที่ทำงาน ถ้ารู้จักตัวบุญแล้ว
จะทำบุญได้ทุกที่ทุกเวลา
๕.
บุญยอดบุญ คือ การทำให้จิตใจสงมและเย็น ด้วยการเจริญสติสมาธิและวิปัสสนา
|