"แสดงอิทธานุภาพสยบคณาจารย์ใหญ่นักบวชชฏิล"
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงส่งพระสาวกชุดแรกจำนวน
๖๐ องค์ออกเผยแผ่ พระพุทธศาสนา อันมีพระปัญจวัคคีย์ ๕
องค์ พระยสะ และภิกษุอดีตสายบุตรเศรษฐีชาวเมืองพาราณสีทั้งสี่รวมเป็น
๕ องค์ พร้อมด้วยภิกษุอดีตสหายของพระยสะ ซึ่งเป็นชาวชนบทอีก
๕๐ องค์แล้วพระบรมศาสดาได้เสด็จถึงไร่ฝ้ายระหว่างทางจากป่าอิสิปตนมฤคทายวันมายังตำบลอุรุเวลา
ทรงแสดงธรรมโปรดมาณพ ๓๐ คนในราชตระกูลแห่งราชวงค์โกศลซึ่งเรียกว่า
"ภัททวัคคีย์" ได้ดวงตาเห็นธรรมทรงประทานอุปสมบทให้เป็นภิกษุ
แล้วทรวสั่งสอนให้บรรลุอริยผลเบื้องสูงทรงส่งไปประกาศพระศาสนาเช่นเดียวกับพระสาวก
๖๐ องค์แรกพระอริยสงฆ์คณะนี้ได้กราบทูลลาเดินทางไปยังเมืองปาวา
จากนั้นพระบรมศาดาทรงเสด็จตรงไปยังตำบลอุรุเวลา
อันตั้งอยู่ในเขตเมืองราชคฤห์ ราชคฤห์มหานครนั้นเป็นครหลวงแห่งแคว้นมคธเป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน
เจริญวิทยาความรู้ตลอดจนการค้าขายเป็นที่รวมอยู่แห่งคณาจารย์เจ้าลัทธิมากมาย
ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่
ๆ นั้นท่านอุรุเวลกัสสปเป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวนครราชคฤห์เป็นอันมาก
ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นนักบวชจำพวกชฏิล ท่านมีพี่น้องด้วยกัน
๓ คน ออกบวชจากตระกูลกัสสปโคต ท่านอุรุเวลเป็นพี่ชายใหญ่มีชฏิล
๕๐๐ เป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา
ต้นแม่น้ำเนรัญชราตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่าอุรุเวลกัสสป
ส่วนน้องคนกลางมีชฏิลบริวาร
๓๐๐ ตั้งอาศรมสถานอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง
จึงได้นามว่า นทีกัสสป ส่วนน้องคนเล็กมีชฏิลบริวาร ๒๐๐
ตั้งอาศรมสถานอยู่ที่คุ้งใต้แห่งแม่น้ำเนรัญชรานั้นต่อไปอีกตำบลหนึ่ง
ซึ่งมีนามว่า ตำบลคยาสีสะ จึงได้นามว่า คยากัสสป ชฏิลคณะนี้ทั้งหมดมีลัทธิหลักในการบูชาเพลิง
จากนั้นพระบรมศาสดาเสด็จไปถึงอาศรมสถานของท่านอุรุเวลกัสสปในเวลาเย็น ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสัก ๑ ราตรี อุรุเวลกัสสปรังเกียจ
ทำอิดเอื้อนไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระศาสดาเป็นนักบวชต่างลัทธิของตน
พูดบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีที่ให้พัก ครั้นพระบรมศาสดาตรัสขอพักที่โรงไฟ
ซึ่งเป็นสถานที่บูชาเพลิงของชฏิลด้วยเป็นที่ว่าง ไม่มีชฏิลอยู่อาศัย
ทั้งเป็นที่อยู่ของนาคราชดุร้ายด้วย อุรุเวลกัสสปได้ทูลว่า
พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย ด้วยเป็นที่อยู่ของพระยานาคมีพิษร้ายแรง
ทั้งดุร้ายที่สุด จะเป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อ พระบรมศาสดารับสั่งยืนยันว่า
นาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลย ท่านอุรุเวลกัสสปจึงได้อนุญาตให้เข้าไปพักแรก
ลำดับนั้น
พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปในโรงไฟประทับนั้งดำรงพระสติต่อพระกัมมัฏฐานภาวนา
ฝ่ายพญานาคเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเข้ามาประทับในที่นั้นก็มีจิตคิดขึ้งเคียดจึงพ่นพิษตลบไป
ในลำดับนั้น พระบรมศาสดาก็ทรงพระดำริว่า ควรที่ตถาคตจะแสดงอิทธานุภาพให้เป็นควันไปสัมผัสมังสฉวี
และเอ็นอัฐิแห่งพญานาคนี้ระงับเดชพญานาคให้เหือดหาย แล้วก็ทรงสำแดงอิทธาสังขารดังพระดำรินั้น
พญานาคมิอาจจะอดกลั้น ซึ่งความพิโรธได้ ก็บังหวนควันพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น
พระบรมศาสดาก็สำแดงเตโชกสิณสมาบัติบันดาลเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ
และพลิงทั้งสองฝ่ายก็บังเกิดขึ้นแสดงแดงสว่างดุจเผาฟลาญซึ่งโรงไฟนั้นให้เป็นเถ้าธุลี
ส่วนชฎิลทั้งหลายก็แวดล้อมโรงไฟนั้น ต่างเจรจากันว่า พระสมณะนี้มีสิริรูปงามยิ่งนักเสียดายที่เธอมาวอดวายเสียด้วยพิษแห่งพญานาคในที่นี้
ครั้นล่วงสมัยราตรีรุ่งเช้า
พระบรมศาสดาก็กำจัดฤทธิ์เดชพญานาคให้อันตรธานหาย บันดาลให้นาคนั้นขดกายลงในบาตร
แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสป ตรัสบอกว่า พญานาคนี้สิ้นฤทธิ์เดชแล้ว
อุรุเวลกัสสปเห็นดังนั้นก็ดำริว่า พระสมณะนี้มีอานุภาพมาก
ระงับเสียซึ่งฤทธิ์พญานาคให้อันตรธานพ่ายแพ้ไปได้ ถึงดังนั้นไซร้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา
อุรุเวลกัสสปมีจิตเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์จึงกล่าวว่า
ข้าแต่สมณะ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ อาศรมของข้าพเจ้าเถิดข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหารให้ฉันทุกวันเป็นนิตย์
พระบรมศาสดาก็เสด็จประทับยังพนาสณฑ์ตำบลหนึ่งใกล้อาศรมแห่งอุรุเวลกัสสปชฏิลนั้น
ครั้นสมัยราตรีเป็นลำดับ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็ลงมาสู่สำนักพระบรมโลกนาถ
ถวายอภิวาทและยืนอยู่ใน ๔ ทิศ มีทิพยรังสีสว่างดุจกองเพลิงก่อไว้ทั้ง
๔ ทิศ ครั้งเวลาเช้าอุรุเวลกัสสปจึงเข้าไปสู่สำนักพระบรมศาสดาทูลว่า
นิมนต์พระสมณะไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว
แต่เมื่อคืนนี้เห็นรัศมีสว่างไปทั่วพนัสมณฑลสถาน บุคคลผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์จึงปรากฏรุ่งเรืองในทิศทั้ง
๔ พระบรมศาสดาจึงตรัสบอกว่า
" ดูกรกัสสป นั้นคือท้าวจาตุมหาราชทั้ง
๔ ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม" อุรุเวลกัสสปได้สดับดังนั้นก็ดำริว่า
พระมหาสมณองค์นี้มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุมหาราชยังลงมาสู่สำนัก
ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา
ครั้นรัตติกาลสมัย
ท้าวสหัสสนัยน์ก็ลงมาสู่สำนักพระบรมศาสดา ถวายนมัสการแล้วยืนอยู่ที่อันควรข้างหนึ่ง
เปล่งรัศมีสว่างดุจกองอัคคีใหญ่ไพโรจน์ยิ่งกว่าราตรีก่อน
ครั้นเพลารุ่งเช้ากัสสปชฏิลทูลอาราธนาให้ฉันภัตตาหารแล้วทูลถามว่า
เมื่อคืนนี้มีผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์ จึงมีรัศมีสว่างยิ่งกว่าราตรีก่อน พระบรมศาสดตรัสบอกว่า
" ดูกรกัสสปเมื่อคืนนี้ท้าวโกสีย์สักเทวราชลงมาสู่สำนักตถาคต
เพื่อจะฟังธรรม" ชลิฏได้สดับดังนั้นก็ดำริเห็นเป็นอัศจรรย์ดุจนัยก่อน
ครั้นเข้าสมัยอีกราตรีหนึ่งถัดมา
ท้ายสหัมบดีพรหมก็ลงมาสู่สำนักพระบรมศาสดา เปล่งรัศมีสว่างยิ่งขึ้นไปกว่าสองราตรีก่อน
ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลกัสสปก็ไปทูลอาราธนา ฉันภัตตาหารแล้วทูลถามอีกพระบรมศาสดาตรัสบอกว่า
" เมื่อคืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมลงมาสู่สำนักตถาคต"
กัสสปดาบสก็ดำริดุจนัยก่อน
ในวันรุ่งขึ้นชนชาวอังครัฐทั้งหลายจะนำเอาขาทนียโภชนียาหารเป็นอันมากมาถวายแด่อุรุเวลชฏิล
อุรุเวลชฏิล จึงดำริแต่ในราตรีว่ารุ่งขึ้นมหาชนจะนำเอาอเนกนานาหารมาสู่สำนักอาตมา
หากพระสมณะรูปนี้สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ลาภสักการะก็จะบังเกิดแก่เธอเป็นอันมากอาตมาจักเสื่อมสูญจากสรรพสักการบูชา
ทำไฉน ณ วันพรุ่งนี้อย่าให้เธอมาสู่ที่นี้ได้
พระบรมศาสดาทรงทราบความดำริของชฏิลด้วยเจโตปริยญาณ(ญาณหยั่งรู้ใจผู้อื่น)
ครั้นเพลารุ่งเช้าก็เสด็จออกไปสู่อุตตรกุรุทวีปทรงปิณฑบาตรได้ภัตตาหารแล้วก็เสด็จมากระทำภัตตกิจยังฝั่งอโนดาต
แล้ทรงยับยั้งอยู่ ณ ทิวาวิหารในที่นั้น ต่อมาเพลาสายัณห์สมัยจึงเสด็จมาสู่วณสณฑ์สำนัก
ครั้นรุ่งขึ้นกัสสปชฏิลไปทูลอาราธนาเสวยภัตตาหารและทูลถามว่า
"วานนี้พระองค์ไปแสวงหาอาหารในที่ใด ไฉนไม่ไปสู่สำนักข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์อยู่" จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสบอกวาระจิตของชฎิลที่วิตกนั้นให้แจ้งทุกประการ
อุรุเวลกัสสปได้สดับก็ตกใจดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีอำนาจมากแท้
เธอล่วงรู้จิตอาตมาถึงดังนั้น แต่ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์ดังอาตมา
ในกาลนั้น
ผ้าบังสุกุลจีวรบังเกิดแก่พระบรมศาสดา พระองค์เสด็จไปซักผ้าบังสุกุลซึ่งห่อศพนางปุณณาทาสี
ที่ทอดทิ้งอยู่ในป่าช้าผีดิบ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นกษัตริย์เสด็จจากขัตติยราชสกุลอันสูงด้วยเกียรติศักดิ์
ทรงตรัสรู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ลดพระองค์ลงมาซักผ้าห่อศพนางปุณณทาสีที่ทอดทิ้งอยู่ในป่าช้า
เพื่อทรงใช้เป็นผ้าจีวรทรงเช่นนี้ เป็นที่สุดวิสัยของเทวดาและมนุษย์ซึ่งอยู่ในสถานะเช่นนั้นจะทำได้
มหาปฐพีใหญ่ก็กัมปนาทหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ถึง ๓ ครั้ง
ตลอดระยะทางที่พระบรมศาสดาทรงพระดำริว่าตถาคตจะซักผ้าบังสุกุล
ณ ที่ใด?
ขณะนั้น
ท้าวสหัสสนัยน์อมรินทราธิราชทรงทราบในพุทธปริวิตจึงเสด็จลงมาขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ในพื้นศิลา
สำเร็จด้วยเทวฤทธิ์ให้เต็มไปด้วยอุทกวารี แล้วกราบทูลให้ซักผ้าบังสุกุลในที่นั้น
ขณะที่ทรงซักก็ทรงพระดำริว่า จะทรงขยำในที่ใดดี ท้าวโกสีย์ก็นำเอาแผ่นศิลาใหญ่เข้าไปถวาย
ทรงขยำด้วยพระหัสถ์จนหายกลิ่นอสุภ แล้วก็ทรงพระดำริว่าจะห้อยผ้าบังสุกุลจีวรในที่ใดดี
ลำดับนั้นรุขเทพยดาซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ไม้กุ่มบก ก็น้อมกิ่งไม้ลงมาถวายให้ทรงห้อยตากจีวรครั้นทรงห้อยตากแล้วก็ทรงพระจินตนาว่า
จะแผ่พับผ้าในที่ใด ท้าย สหัสสนัยน์ก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่มาทูลถวายให้แผ่ผ้ามหาบังสกุลนั้น
เพลารุ่งเช้าอุรุเวลกัสสปไปเผ้าพระบรมศาสดา
เห็นสระและแผ่นศิลาทั้งสอง ซึ่งมิได้ปรากกฏมีในนั้นมาก่อน
และกิ่งไม้กุ่มน้อมลงมาเช่นนั้น จึงทูลถาม พระบรมศาสดาตรัสบอกความทั้งปวงให้ทราบ
เมื่อกัสสปได้ฟังก็สะดุ้งตกใจดำริว่า พระสมณะองค์นี้มีเดชานุภาพมากยิ่งนักแม้ท้าวมัฆวานยังลงมากระทำไวยาวัจกิจถวาย
แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา
ครั้นวันรุ่งขึ้นในวันถัดเป็นลำดับ
กัสสปชฏิลไปทูลนิมต์ฉันภัตตาหาร จึงตรัสว่า "ท่านจงไปก่อนเถิด
ตถาคตจะตามไปภายหลัง" เมื่อส่งชฏิลไปแล้ว จึงเสด็จเหาะไปนำเอาผลหว้าใหญ่ประจำทวีปในป่าหิมพานต์มา
แล้วก็เสด็จมาถึงโรงไฟก่อนหน้าชฎิลจะมาถึง ครั้นชฏิลทูลถามว่า
พระองค์มาทางใดจึงถึงก่อน พระศาสดาจึงตรัสประพฤติเหตุแล้วตรัสว่า
" ดูกรกัสสป ผลหว้าประจำทวีปนี้มีวรรณสัณฐานสุคันธรเอมโอช
ถ้าท่านปรารถนาจะบริโภคก็เชิญตามปรารถนา"
ในวันต่อมาได้ทรงทำปาฏิหาริย์เช่นนั้นอีก
๔ ครั้ง คือ ทรงส่งอุรุเวลกัสสปมาก่อนแล้ว เสด็จเหาะไปเก็บผลมะม่วงครั้งหนึ่ง เก็บผลขามป้อมครั้งหนึ่ง
เก็บผลส้มในป่าหิมพานต์ครั้งหนึ่ง เสด็จขึ้นไปดาวดึงส์เทวโลกนำเอาผลไม้่ปาริฉัตรตกครั้งหนึ่ง
เสด็จมาถึงก่อน คอยท่าอุรุเวลกัสสปอยู่ที่โรงไฟ ให้ชฏิลเห็นเป็นอัศจรรย์ใจทุกครั้ง
วันหนึ่งชฏิลทั้งหลายปรารถนาจะก่อไฟมิอาจผ่าฟืนออกได้ จึงดำริว่าที่เป็นดังนี้เพราะฤทธิ์พระสมณะทำโดยแท้ พระบรมศาสดาจึงตรัสถาม ครั้นทราบความแล้วก็ตรัสว่า
ท่านจงผ่าฟืนตามปรารถนาเถิด ในทันใดนั้นชฏิลก็ผ่าฟืนออกตามประสงค์
วันหนึ่งชฏิลทั้ง
๕๐๐ ปรารถนาจะบูชาเพลิง ก่อเพลิงไม่ติดจึงคิดปริวิตกเหมือนหนหลัง
พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้วก็ทรงอนุญาตให้ก่อเพลิงได้
เพลิงก็ติดขึ้นทั้ง ๕๐๐ กอง พร้อมกันในขณะเดียวชฏิลทั้งหลายบูชาเพลิงสำเร็จแล้ว
จะดับเพลิง เพิงก็ไม่ดับจึงดำริดุจหนก่อน พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ดับเพลิงเพลิงก็ดับพร้อมกัน
ทั้ง ๕๐๐ กอง
วันหนึ่งในเวลาหนาว
ชฏิลทั้งหลายลงอาบน้ำดำผุดขึ้นลงในแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธเจ้าทรงดำริว่า
เมื่อชฏิลขึ้นจากน้ำจะหนาวมากจึงทรงนิรมิตเชิงกราน ๕๐๐
อันมีเพลิงติดไว้ทั้งสิ้น ครั้นชฏิลทั้งหลายขึ้นจากน้ำหนาวจัดก็ชวนกันเข้าผิงไฟที่เชิงกราน
แล้วก็คิดสันนิษฐานว่าพระมหาสมณะคงจะนิรมิตไว้ให้เป็นแน่
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
วันหนึ่ง
มหาเมฆตั้งขึ้นมิใช่ฤดูกาล บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก
กระแสน้ำเป็นห้วงใหญ่ท่วมไปในที่ทั้งปวงโดยรอบบริเวณนั้น ฝ่ายอุรุเวลกัสสปนั้นคิดว่า
พระมหาสมณะนี้น้ำจะท่วมเธอหรือไม่ท่วมประการใด จึงลงเรือพร้อมกับชฏิลทั้งหลายรีบพายไปดูโดยด่วน
ถึงสถานที่ซึ่งพระบรมศาสดาทรงสถิตก็เห็นน้ำสูงขึ้นเป็นกำแพงอยู่โดยรอบ แลเห็นพระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในพื้นภูมิภาคปราศจากน้ำ
จึงส่งเสียงร้องเรียก พระพุทธเข้าขานรับว่า "กัสสป
ตถาคตอยู่ที่นี้" แล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศเลื่อนลอยลงสู่เรือของกัสสปชฏิล
กัสสปชฏิก็ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์เป็นอันมาก แต่ถึงมีอานุภาพมากอย่างนั้นก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา
แท้จริง
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จจากป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันแรมค้ำหนึ่ง
เดือนกัตติกมาส (เดือน ๑๒) มาประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาจนตราบเท่าถึงวันเพ็ญเดือน
๒ เป็นเวลาสองเดือน ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ทรมานอุรุเวลาจนตราบเท่าถึงวันเพ็ญเดือน
๒ เป็นเวลาสองเดือน ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ทรมานอุรุเวลกัสสปโดยอเนกประการ
แต่อุรุเวลกัสสปก็ยังมีสันดานกระด้าง ถือตนว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อย่างนั้น
ด้วยทิฐิอันกล้ายิ่งนัก จึงทรงพระดำริว่า ตถาคตจะยังให้ชฎิลสลดจิตคิดสังเวชตนเอง
พระบรมศาสดาจึงมีพระวาจาตรัสแก่อุรุเวลกัสสปว่า
"กัสสปตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งทางปฏิบัติของท่านก็ยังห่างไกลมิใช่ทางมรรคผลอันใด
ไฉนเล่าท่านจึงถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ เท็จต่อตนเองทั้ง
ๆ ที่ท่านก็รู้ตัวดีว่า ตัวยังมิได้บรรลุโมกขธรรมอันใดยังทำตนลวงคนอื่นว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อีก
กัสสป! ถึงเวลาอันควรแล้วที่ท่านจะสารภาพ แก่ตัวของท่านเองว่า
ท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งยังมิได้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอรหันต์ด้วย
กัสสป! แล้วท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ในกาลไม่นาน"
เมื่ออุรุเวลกัสสปได้สดับพระโอวาทก็รู้สึกตัวละอายแก่ใจซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทแล้วกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอพรรพชาอุปสมบทในสำนักพระองค์
ขอถึงพระองค์ และพระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง"
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า
"กัสสป ! ตัวท่านเป็นอาจารย์ยิ่งใหญ่เป็นประธานแก่หมู่ชฏิล
๕๐๐ ท่านจงชี้แจงให้ชฏิลบริวารยินยอมพร้อมกันก่อน แล้วตถาคตจึงจะยอมให้บรรพชาอุปสมบท"
อุรุเวลกัสสปก็กราบถวายบังคมลามายังอาศรมและบอกกับชฏิลผู้เป็นศิษย์
ศิษย์ก็ยินยอมพร้อมกันจะบรรพชาในสำนักพระบรมศาสดาทั้งสิ้น
แล้วชฏิลทั้งหลายก็พร้อมใจกันลอยเครื่องบริขารและเครื่องตกแต่งผม
ชฎา สาแหรก คาน เครื่องบูชาเพลิง ทั้งน้ำเต้า หนังเสือ
ไม้สามง่ามลงในแม่น้ำทั้งสิ้น แล้วก็พากันมาเฝ้าพระบรมศาสดา
ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาท ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระบรมศาสดาก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเสมอกัน
ครั้นนั้น
ท่านนทุกัสสปผู้เป็นน้องกลาง เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงลอยน้ำมาก็ดำริว่า
ชรอยอันตรายจะมีแก่ดาบสทั้ง ๓๐๐ อันเป็นศิษย์มาสู่สำนักของท่านอุรุเวลกัสสป
ถามเหตุนั้น ครั้นทราบความแล้วก็เลื่อมใส ชวนกันลอยเครื่องดาบสบริขารลงในแม่น้ำนั้น
แล้วพากันเข้าถวายอัญชลีทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดาก็โปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งสิ้น
ฝ่ายคยากัสสปผู้เป็นน้องคนสุดท้อง
เห็นเครื่องบริขารของพี่ชายลอยน้ำลงมาก็จำได้ จึงส่งศิษย์ไปสืบความ
เมื่อรู้เหตุแล้วก็พาดาบสทั้ง ๒๐๐ อันเป็นศิษย์ไปสู่สำนักของอุรุเวลกัสสป
ไปถามความทราบกระจ่างแล้วเลื่อมใส ชวนกันลอยเครื่องบริขารลงในกระแสชลแล้วเข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้า
พระบรมศาสดาก็โปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดำเนินพาภิกษุสงฆ์
๑,๐๐๐ นั้นไปสู่ตำบลคยาสีสะ ตรัสพระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตร
อันเป็นพระสูตรแสดง อายตนะภายใน อายตนะภายนอกวิญญาณ สัมผัส
เวทนาเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ เพื่ออนุโลมตามอัธยาศัยของปุราณชฏิลที่นิยมบูชาไฟเป็นวัตร
โปรดภิกษุทั้ง ๑,๐๐๐ นั้นให้บรรลุพระอรหัตด้วยกันทั้งสิ้น
|