ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภพระอานนทเถระ เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งนั้น
พระสนมของพระเจ้าโกศล มีความประสงค์จะศึกษาธรรมะ
จึงขอโอกาสพระราชา นิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งเข้ามาสอนธรรมะในพระราชวัง
พระราชาทรงเห็นดีด้วย จึงกราบทูลแด่พระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์จึงจัดส่งพระอานนทเถระเข้าไปแสดงธรรมในพระราชวัง
ต่อมาวันหนึ่ง
พระจุฬามณีของพระราชาเกิดสูญหาย พระราชาจึงรับสั่งให้อำมาตย์ตรวจค้นผู้คนในพระราชวังทั้งหมด
แต่ก็ไม่พบ ทำให้ผู้คนเกิดความเดือดร้อน
วันนั้น
พระเถระเข้าไปพระราชราชวัง พบเห็นความผิดปกติของพระสนม
ซึ่งทุกวันพอเห็นพระเถระมา จะพากันร่าเริงยินดี
ตั้งใจเรียนธรรม แต่วันนั้น กลับดูเหงาหงอย
ซึมเซา จึงถามดู เมื่อทราบความแล้ว จึงขอเข้าเฝ้าพระราชา
และให้คำแนะนำว่า
"
อุบายที่จะไม่ทำให้มหาชนลำบาก แล้วให้เขานำพระจุฬามณีมาคืน
พอมีอยู่ โดยใช้บิณฑทาน กล่าวคือ พระองค์สงสัยคนเท่าใด
ก็จับคนเท่านั้น แล้วให้ฟ่อนฟางหรือก้อนดินไปคนละก้อน
บอกให้นำมาโยนทิ้งไว้ที่ห้องหนึ่ง คนที่ถือเอาพระจุฬามณีไป
ก็จักซุกมากับฟ่อนฟางหรือก้อนดินนั้นนำมาโยนไว้
แล้วให้อำมาตย์ตรวจค้นดู วันแรกถ้ายังไม่พบ
ก็พึงให้ทำเช่นนี้สัก ๓ วัน ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะไม่พลอยลำบากด้วย
"
พระราชารับสั่งให้ทำเช่นนั้นตลอด
๓ วัน ไม่มีใครนำแก้วจุฬามณีมาคืนเลย พระเถระถวายพระพรอีกว่า
" ถ้าเช่นนั้น โปรดรับสั่งให้ตั้งตุ่มใหญ่บรรจุน้ำเต็มไว้ในท้องพระโรง
ทำม่านกั้นบังไว้แล้วให้ผู้คนทุกคนในพระราชวัง
ห่มผ้าแล้วเข้าไปในม่านล้างมือที่ตุ่มทีละคนแล้วออกมา
"
พระราชารับสั่งให้ทำเช่นนั้นปรากฏว่า
ได้แก้วจุฬามณีกลับคืนมา ทรงดีพระทัยยิ่งนัก
ผู้คนอาศัยพระเถระจึงพ้นจากทุกข์ได้ เรื่องนี้ทราบไปถึงพระพุทธองค์
พระองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์ เกิดเป็นอำมาตย์ในเมืองพาราณสี
วันหนึ่ง พระราชา เสด็จประภาสอุทยาน เมื่อจะทรงอุทกกีฬา
รับสั่งให้พวกสตรีเปลื้องอาภรณ์เครื่องประดับไว้กับหญิงรับใช้
แล้วลงสู่สระน้ำ ขณะนั้น มีนางลิงขาวตัวหนึ่ง
อาศัยอยู่ในอุทยานนั้น ขณะหญิงรับใช้หลับ
ได้ลักเอาสร้อยมุกดาแล้วกระโดดขึ้นต้นไม้นำไปซุกซ่อนไว้ในโพรงไม้แห่งหนึ่ง
ครั้นนางหญิงรับใช้ตื่นขึ้นมาไม่เห็นสร้อยมุกดา
ก็ตัวสั่นจึงร้องตะโกนว่า "
มีคนแย่งสร้อยมุกดาของพระเทวีหนีไปแล้ว "
พวกทหารจึงรีบวิ่งตามจับโจร ขณะนั้น มีชายบ้านนอกคนหนึ่งเดินผ่านมา
พอได้ยินเสียงนั้นก็ตกใจวิ่งหนี พวกทหารเห็นเขาหนีจึงวิ่งตามจับมาได้
ด้วยความกลัวตายชายคนนั้น จึงยอมรับว่า ได้ขโมยไปจริง
เมื่อถูกถามหาว่านำไปไว้ไหน ก็บอกว่า มอบให้เศรษฐีไปแล้ว
พระราชารับสั่งให้เศรษฐีมาเฝ้า เศรษฐีก็กราบทูลว่าได้มอบให้ปุโรหิตไปแล้ว
ฝ่ายปุโรหิตก็กราบทูลว่าได้มอบให้คนธรรพ์ไปแล้ว
คนธรรพ์ก็กราบทูลว่าได้มอบให้นางวัณณทาสีไปแล้ว
ส่วนนางวัณณทาสีกราบทูลว่า มิได้รับไว้ เมื่อสอบสวนคนทั้ง
๕ คนกว่าจะทั่วทุกคน พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว
พระราชาจึงรับสั่งว่า "
ต้องรู้เรื่องในวัน พรุ่งนี้ "
จึงมอบคนทั้ง ๕ ให้อำมาตย์แล้วเสด็จกลับเข้าสู่พระนคร
ฝ่ายอำมาตย์คิดว่า
" เครื่องประดับหายภายในสวน
ส่วนคนเหล่านี้เป็นคนภายนอก การอารักขาก็เข้มแข็ง
โอกาสที่คนข้างนอกหรือคนรับใช้ในสวนจะลักไม่มีวี่เเววเลย
คำยอมรับของพวกเหล่านี้ ก็เพื่อปลดเปลื้องตนจากความผิดเท่านั้น
สวนนี้มีลิงอาศัยอยู่มาก เครื่องประดับคงตกอยู่ในมือของลิงตัวหนึ่งเป็นแน่
" จึงขอให้มอบโจรทั้ง ๕ คนแก่ตน
แล้วนำไปขังไว้ในห้องเดียวกัน สั่งให้ทหารแอบฟังดูว่า
" พวกโจรนี้จะปรึกษาอะไรกันบ้าง
"
พอตกดึก
เศรษฐีจึงถามชายบ้านนอกว่า
" มึงเคยพบกูที่ไหน
มึงเคยให้เครื่องประดับกูตั้งแต่เมื่อไร ?
"
ส่วนชายบ้านนอกรีบขอโทษแล้วกล่าวว่า
" ผมก็ไม่รู้จักสร้อยมุกดาด้วยซ้ำไป
ที่อ้างท่านก็เพราะจะอาศัยท่านรอดพ้นจากอันตราย
"
ฝ่ายปุโรหิตก็ถามเศรษฐีว่า
" เมื่อชายคนนั้นไม่ได้มอบเครื่องประดับแก่ท่าน
แล้วท่านเอามามอบให้ข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อใด
"
เศรษฐีจึงกล่าวว่า
" ข้าพเจ้ากล่าวไปก็เพราะเราทั้งสองเป็นคนใหญ่คนโต
ช่วยกันพูดการงานก็จะสำเร็จด้วยดี "
ปุโรหิตก็พูดกับคนธรรพ์ว่าที่ข้าพเจ้ากล่าวตู่ท่าน
ก็เพื่อที่จะอาศัยท่านอยู่เป็นสุขในห้องขัง
ส่วนคนธรรพ์ก็กล่าวกับนางวัณณทาสีว่า ที่ข้าพเจ้ากล่าวตู่ท่านก็เพื่อที่จะอาศัยท่านในเรื่องเพศสัมพันธ์
พวกเราจักไม่ต้องหงอยเหงาอยู่ร่วมกันอย่างสบาย
อำมาตย์
ฟังคำรายงานนั้นจากทหารแล้ว ก็ทราบแน่ชัดว่าคนทั้ง
๕ นั้นไม่ใช่โจร จึงสั่งให้ทำเครื่องประดับยางไม้
เสร็จแล้วให้จับลิงมาประดับหลายตัวแล้วปล่อยไป
สั่งให้ทหารสังเกตดู พวกลิงที่ได้เครื่องประดับไปแล้วก็อวดเครื่องประดับกันเกรียวกราว
นางลิงนั้น พอเห็นเพื่อนมีเครื่องประดับก็ทนไม่ได้
จึงไปนำสร้อยมุกดามาประดับอวดตน พวกทหารเห็นเช่นนั้น
จึงนำกลับมามอบให้แก่อำมาตย์
อำมาตย์
ได้นำสร้อยมุกดาเข้ากราบทูลแด่พระราชาและกราบทูลความจริงให้ทรงทราบ
พระราชาทรงดีพระทัย เมื่อจะชมเชยอำมาตย์จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
"
ยามคับขัน ประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ
ยามปรึกษาการงาน
ต้องการคนไม่พูดพล่าม
ยามมีข้าวน้ำ
ต้องการคนเป็นที่รักของตน
ยามเกิดปัญหา
ต้องการบัณฑิต "
|