ในสมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญาพระองค์ของพวกภิกษุ
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชกุมารของพระเจ้าชนสันธะ
ผู้ครองเมืองพาราณสี มีหน้าตาสดใสงดงามมากจึงถูกขนานนามว่าอาทาสมุขกุมาร
พอมีอายุได้ ๗ ขวบเท่านั้นพระชนกก็สวรรคต
พวกอำมาตย์เห็นว่าพระกุมารยังไม่อยู่ในฐานะจะครองเมืองได้
จึงจะทดสอบภูมิปัญญาของพระกุมารดู ในวันหนึ่ง
ได้ตกแต่งพระนครใหม่ จัดตั้งสถานวินิจฉัย(
ศาล )เสร็จแล้ว ได้มอบให้พระกุมารขึ้นตัดสินคดีความ
พอพระกุมารประทับบนบัลลังก์แล้วก็ให้เอาลิงตัวหนึ่งซึ่งสามารถเดิน
๒ เท้าได้แต่งตัวเป็นอาจารย์ผู้รู้วิชาดูที่
แล้วถวายรายงานพระราชกุมารว่า "
ขอเดชะ นี่คืออาจารย์ผู้รู้วิชาดูที่ สมัยของพระชนก
ขอพระองค์จงสงเคราะห์ชายผู้นี้ แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้วยเถิด"
พระราชกุมารแลดูผู้นั้นแล้วทราบว่าเป็นลิงมิใช่มนุษย์จึงตรัสว่า
"
สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดทำบ้านเรือน หลุกหลิก หนังหน้าย่น
รู้แต่จะทำลายสิ่งที่เขาทำไว้แล้วเท่านั้น
จะให้เป็นที่ปรึกษาไม่ได้ "
พวกอำมาตย์รับคำแล้วนำลิงนั้นกลับไป
อีกสองวันต่อมาก็นำลิงตัวนั้นมาถวายรายงานอีกว่า
"
ขอเดชะ นี่คืออำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี สมัยพระชนก
ขอพระองค์โปรดแต่งตั้งไว้เป็นที่ปรึกษาเถิด
"
พระราชกุมาร
แลดูก็ทราบว่ามนุษย์ไม่มีขนมากขนาดนี้ จึงตรัสว่า
"สัตว์ที่มีความคิด
ขนไม่มากขนาดนี้ ลิงตัวนี้ไม่มีความคิด ไม่รู้จักเหตุผล
ทำการวินิจฉัยคดีไม่ได้หรอก "
พวกอำมาตย์รับคำแล้วก็นำลิงนั้นกลับไป
อีกสองวันถัดมาก็นำลิงตัวนั้นมาถวายรายงานอีกว่า
"ขอเดชะ
ชายผู้นี้ในสมัยพระชนก ได้บำรุงเลี้ยงบิดามารดาเป็นชายกตัญญู
ขอพระองค์โปรดอนุเคราะห์เขาด้วยเถิด "
พระราชกุมาร
แลดูลิงนั้นแล้วตรัสว่า
"
สัตว์เช่นนี้จะเลี้ยงดูบิดามารดาไม่ได้ มีจิตใจกลับกลอก
บิดาเราสอนไว้อย่างนี้ "
พวกอำมาตย์ทราบว่าพระกุมารเป็นบัณฑิตแล้วจึงอภิเษกให้ขึ้นครองราชตั้งแต่บัดนั้น
ความอัจฉริยะของพระราชกุมาร ๑๔ เรื่องจึงเกิดขึ้น
คือ
ในสมัยนั้น
มีชายแก่คนหนึ่งชื่อคามณิจันท์เคยเป็นทาสรับใช้ของพระเจ้าชนสันธะ
เมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้าชนสันธะแล้วได้ปลีกตัวออกไปประกอบอาชีพกสิกรรมอยู่บ้านนอกหมู่บ้านหนึ่ง
แต่เขาไม่มีโคทำนา เมื่อฝนตกในฤดูทำนาจึงไปยืมโค
๒ ตัวจากเพื่อนบ้านมาไถนาทั้งวัน ตกเย็นได้นำโคไปคืนเจ้าของที่บ้าน
เห็นเจ้าของโคกำลังนั่งกินข้าวอยู่กลางบ้าน
เกรงว่าเขาจะชวนกินข้าวด้วย นายคามณิจันท์จึงปล่อยแต่โคเข้าไปในคอก
ส่วนตัวเองเดินกลับบ้านไป ตกกลางคืนมีโจรมาลักโคเหล่านั้นไปหมด
เจ้าของโคถึงแม้รู้อยู่ว่าโคถูกขโมยไป ก็ไปทวงโคกับนายคามณีจันท์พร้อมกับปรับสินไหมนำไปแจ้งความที่เมืองหลวง
ในขณะเดินทางไปเมืองหลวง
นายคามณิจันท์หิวข้าวจึงขอแวะบ้านเพื่อนที่หมู่บ้านหนึ่งก่อน
ปรากฏว่าเพื่อนไม่อยู่บ้าน อยู่แต่ภรรยาที่ท้องได้
๗ เดือน นางดีใจที่นายคามณิจันท์มาเยี่ยม
แต่ข้าวสุกไม่มี จึงต้องขึ้นไปเอาข้าวที่ฉาง
นางได้พลัดตกลงมาที่พื้นดินทำให้นางแท้งลูก
พอสามีกลับมาถึงบ้านทราบเรื่องจึงตั้งข้อหานายคามณิจันท์ฆ่าลูก
ชายทั้ง ๓ คนจึงต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยกัน
เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
คนเลี้ยงม้าคนหนึ่งกำลังต้อนม้าให้กลับบ้าน
มีม้าตัวหนึ่งพยศไม่ยอมไป เขาจึงร้องบอกให้นายคามณิจันท์เอาอะไรขวางม้าให้กลับเข้าบ้านที
นายคามณิจันท์เอาก้อนหินขว้างไปถูกขาม้าหัก
คนเลี้ยงม้าจึงตั้งข้อหาเขาทำให้ขาม้าหัก
เป็นเหตุชายทั้ง ๔ คนต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงไปด้วยกัน
ในขณะเดินทาง
นายคามณิจันท์คิดน้อยใจอยู่คนเดียวว่า "
ช่างโชคร้ายนักเรา เมื่อถึงเมืองหลวง เงินสักบาทจะจ่ายค่าโคก็ไม่มี
อีกทั้งค่าลูก ค่าม้า ขอตายเสียดีกว่า "
ในระหว่างทางต้องเดินผ่านภูเขามีผาชันลูกหนึ่ง
เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงในเหวไปตาย แต่บังเอิญมี
๒ พ่อลูกนั่งสานเสื่อลำแพนอยู่ที่เชิงเขานั้น
นายคามณิจันท์จึงตกลงไปทับช่างสานผู้พ่อเสียชีวิตส่วนตัวเขารอดชีวิต
เป็นเหตุให้ลูกชายช่างสานตั้งข้อหาฆ่าพ่อของเขา
ชายทั้ง ๕ คนจึงเดินทางเข้าเมืองหลวงไปด้วยกัน
ในระหว่างทาง
มีทั้งคนและสัตว์ได้ฝากสาส์นกับนายคามณิจันท์ไปถวายพระราชาอีก
๑๐ เรื่อง เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว วันนั้นพระราชกุมารขึ้นประทับบัลลังก์ตัดสินคดีเอง
พอเห็นหน้านายคามณิจันท์ก็จำได้ จึงตรัสถามว่า
" ลุงคามณิจันท์
ท่านไปอยู่ที่ไหนมา "
นายคามณีจันท์กราบทูลว่า
" ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์ไปอยู่บ้านนอกทำกสิกรรมพระเจ้าข้า
จึงได้เกิดคดีโคกับท่านนี้ขึ้น"
พระราชกุมารจึงไตร่สวนจนทราบความแล้วตรัสถามเจ้าของโคว่า
" เมื่อโคเข้าบ้าน ท่านเห็นหรือไม่ "
เจ้าของโคทูลว่า
" ไม่เห็น
พระเจ้าข้า "
พระองค์จึงตรัสถามย้ำอีกว่า
" ไม่เห็นแน่นะ "
เขาจึงทูลใหม่ว่า
" เห็นอยู่พระเจ้าข้า "
พระองค์จึงตัดสินคดีว่า
" ลุงคามณิจันท์ เพราะท่านไม่เอ่ยปากมอบโคแก่เจ้าของ
จึงปรับสินไหมท่าน ๒๔ กหาปณะ แต่ชายคนนี้พูดมุสา
ทั้งที่เห็นอยู่กลับบอกว่าไม่เห็น ท่านจงควักนัยน์ตาของพวกเขาสองผัวเมียเสีย
"
ชายเจ้าของโครีบกรูเข้าไปหมอบลงแทบเท้านายคามณิจันท์พูดว่า
" ท่านลุง
เงินค่าโคขอยกให้ท่านก็แล้วกัน และเงินเหล่านี้ขอมอบให้ท่านอีก
ขออย่าได้ควักนัยน์ตาของพวกข้าพเจ้าเลย "
มอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป
คดีที่
๒ พระราชกุมารทราบเรื่องแล้วตรัสถามว่า
" เมื่อนายคามณิจันท์ไม่ได้ฆ่าลูกของท่าน
ท่านจะทำอย่างไรละ"
ชายคนนั้นจึงทูลว่า
" ข้าพระองค์ต้องการลูกคืนเท่านั้นแหละ
พระเจ้าข้า " พระองค์จึงตัดสินคดีว่า
"ถ้าเช่นนั้น ลุงคามณิจันท์จงนำภรรยาของเขาไปอยู่ด้วย
เมื่อมีลูกแล้วค่อยคืนเขาไปก็แล้วกัน"
ชายคนนั้นก็หมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์อ้อนวอนว่า
" ท่านลุง
อย่าได้ทำลายครอบครัวผมเลยนะครับ
" มอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป
คดีที่
๓ พระราชกุมารทราบเรื่องแล้วตรัสถามว่า
" ท่านเป็นคนบอกให้นายคามณิจันท์ขว้างม้าใช่หรือไม่
"
ครั้งแรกเขาบอกปฏิเสธเมื่อพระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สองจึงทูลความจริง
พระองค์จึงตัดสินคดีว่า " ชายคนนี้พูดมุสา
ลุงคามณิจันท์จงตัดลิ้นของเขาเสีย แล้วจ่ายค่าขาม้าเขาไป
๑,๐๐๐ กหาปณะ"
ชายเจ้าของม้าหมอบลงแทบเท้านายคามณิจันณ์ขอชีวิตพร้อมมอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป
คดีที่
๔ เมื่อพระราชกุมารทราบเรื่องแล้วตรัสถามว่า
" เมื่อเขาตกลงมาทับบิดาของท่านตายโดยไม่เจตนาเช่นนี้
ท่านจะให้ทำอย่างไรละ "
ลูกชายช่างสานจึงทูลว่า
"ข้าพระองค์ขอเพียงบิดาคืนมาเท่านั้น
พระเจ้าข้า "
พระองค์จึงตัดสินคดีว่า
" ลุงคามณิจันท์ เมื่อเขาต้องการบิดาของเขาคืน
คนตายไปแล้วย่อมฟื้นคืนมาไม่ได้ ท่านจงรับมารดาของเขามาเป็นภรรยาก็แล้วกัน
"
บุตรช่างสานจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์อ้อนวอนว่า
" ท่านลุง
อย่าได้ทำลายครอบครัวผมเลยนะครับ
" มอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป
นายคามณิจันท์ชนะคดีความจึงมีความยินดีเบิกบานใจกราบทูลว่า
" ขอเดชะ ยังมีสาส์นฝากมาถวายพระองค์อีก
๑๐ เรื่อง พระเจ้าข้า " พระราชกุมารจึงรับสั่งให้บอกสาส์นนั้นมาทีละเรื่อง
สาส์นที่
๑ นายบ้านส่วยคนหนึ่งทูลถามว่า "
เดิมทีเขาเป็นคนรูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก
ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน แต่บัดนี้เป็นคนทุกข์ยาก
ซูบผอมเป็นโรค เป็นเพราะเหตุไร พระเจ้าข้า
"
พระราชกุมารตรัสว่า
" นายบ้านส่วยคนนั้นเดิมเป็นคนมีศีลธรรม
ตัดสินคดีโดยธรรม จึงเป็นที่รักของทุกคน เขาจึงมีทรัพย์สมบัติมาก
ต่อมาเขาเห็นแก่สินบน ตัดสินคดีโดยไม่เป็นธรรม
จึงเป็นคนทุกข์ยากเข็ญใจ มีโรคภัยเบียดเบียน
บอกให้เขากลับมาเป็นคนมีศีลธรรมอีก เขาก็จะเป็นคนมั่งมีเหมือนเดิม
"
สาส์นที่ ๒ หญิงคณิกานางหนึ่งทูลถามว่า
" เมื่อก่อนได้ค่าจ้างมาก แต่มาบัดนี้ไม่ได้แม้แต่หมากพลูมวนเดียว
ไม่มีใครมาเที่ยวเลยเป็นเพราะเหตุไร "
พระราชกุมารตรัสว่า
" เมื่อก่อนนางรับค่าจ้างจากชายคนหนึ่งแล้วจะไม่รับจากคนอื่นอีก
(เป็นไปตามลำดับ) นางจึงมีค่าจ้างมาก บัดนี้นางรับค่าจ้างจากคนแรกแล้วกลับไปนอนกับคนหลัง
ค่าจ้างจึงไม่ค่อยจะมี ถ้านางกลับไปปฏิบัติตามเดิมไม่เห็นแก่ได้
นางก็จะเป็นคนมีค่าจ้างเหมือนเดิม "
สาส์นที่
๓ หญิงสาวนางหนึ่งทูลถามว่า " นางไม่สามารถอยู่ในบ้านของสามีและบิดามารดาได้
เป็นเพราะเหตุไร "
พระราชกุมารตรัสว่า
" ในระหว่างบ้านของสามีและบิดามารดาของสาวนางนั้น
มีบ้านของชายคนรักของเธออยู่หลังหนึ่ง เธอจึงไม่สามารถอยู่ในบ้านสามีได้
บอกสามีว่าจะกลับไปเยี่ยมบิดามารดาก็แอบไปอยู่บ้านชายชู้
๒-๓ วัน ไปบ้านบิดามารดาก็บอกว่าจะไปบ้านสามี
แล้วก็แอบอยู่บ้านชายชู้ ๒-๓ วัน ท่านลุงคามณิจันท์จงบอกให้เธอทราบว่า
พระราชกำหนดกฎหมายมีอยู่ ถ้าเธอไม่อยู่ที่บ้านสามีอีกชีวิตเธอก็จะไม่มีเช่นกัน
"
สาส์นที่
๔ งูตัวหนึ่งอยู่ที่จอมปลวกใกล้ทางใหญ่ทูลถามว่า
"ในเวลาออกหากินร่างกายผอมกลับคับปล่องทางออกจะออกจากจอมปลวกยากลำบาก
เมื่อกินอิ่มแล้วร่างกายอ้วนพีกลับเข้าปล่องง่าย
ร่างกายไม่กระทบแม้กระทั่งข้างปล่องเลย เป็นเพราะเหตุไร
"
พระราชกุมารตรัสว่า
" ภายใต้จอมปลวกมีขุมทรัพย์หม้อใหญ่ฝังอยู่
งูนั้นเฝ้าหม้อทรัพย์นั้นอยู่ จึงทำให้ร่างกายหย่อนติดนั่นติดนี่เวลาออกจึงยากลำบาก
เมื่อกินอิ่มแล้วไม่ติดขัดรีบเข้าไปโดยเร็วเพราะติดอยู่ในทรัพย์
ท่านลุงคามณิจันท์จงไปขุดเอาทรัพย์นั่นเสียเถอะ
"
สาส์นที่ ๕ เนื้อตัวหนึ่งทูลถามว่า "
ข้าพเจ้าไม่อาจไปกินหญ้าที่อื่นได้ กินอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งเดียวเท่านั้น
เป็นเพราะเหตุไร "
พระราชกุมารตรัสว่า
"ที่ต้นไม้นั้นมีรวงผึ้งใหญ่ เนื้อตัวนั้นติดอยู่ในหญ้าที่เปื้อนน้ำผึ้ง
จึงไม่ไปไหน ท่านลุงคามณิจันท์ จงไปนำน้ำผึ้งนั้นมาให้เรา
ที่เหลือยกให้ท่าน"
สาสน์ที่
๖ นกกระทาตัวหนึ่งทูลถามว่า " ข้าพเจ้าจับอยู่ที่จอมปลวกเท่านั้นจึงอยู่ได้สบาย
อยู่ที่อื่นไม่ได้เลย เป็นเพราะเหตุไร "
พระราชกุมารตรัสว่า
" นกกระทาจับที่จอมปลวกจึงขันอย่างอิ่มเอิบใจ
และภายใต้จอมปลวกนั้น มีหม้อขุมทรัพย์ ท่านลุงคามณิจันท์จงไปขุดเอาหม้อขุมทรัพย์นั้นเถิด
"
สาส์นที่
๗ รุกขเทวดาตนหนึ่งทูลถามว่า " เมื่อก่อนเคยได้ลาภสักการะมาก
บัดนี้ไม่ได้แม้แต่ใบไม้อ่อนกำมือหนึ่ง เป็นเพราะเหตุไร
"
พระราชกุมารตรัสว่า
" เมื่อก่อนรุกขเทวดานั้น รักษาพวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง
จึงได้เครื่องสักการะที่เขาทำพลีกรรม บัดนี้ไม่ได้รักษา
พวกมนุษย์จึงไม่ได้ทำพลีกรรม ถ้ากลับไปรักษาพวกมนุษย์อีก
ก็จะได้ลาภสักการะเหมือนเดิม"
สาส์นที่
๘ พญานาคตัวหนึ่งทูลถามว่า " เมื่อก่อนน้ำในสระใสสะอาดมีสีเหมือนแก้วมณี
บัดนี้กลับขุ่นมัวมีแหนปกคลุม เป็นเพราะเหตุไร"
พระราชกุมารตรัสว่า
" พญานาคทะเลาะกัน น้ำจึงขุ่นมัว ถ้าพญานาคกลับมาสมานสามัคคีกัน
น้ำในสระก็จะใสสะอาดเหมือนเดิม"
สาส์นที่
๙ พวกดาบสที่อยู่ใกล้เมืองนี้ทูลถามว่า
" เมื่อก่อนผลไม้ในอารามอร่อยมาก บัดนี้กลับมาเฝื่อนฝาดไม่อร่อย
เป็นเพราะเหตุไร "
พระราชกุมารตรัสว่า
" เมื่อก่อนพวกดาบสพากันปฏิบัติสมณธรรม
เป็นผู้ขวานขวายในการบริกรรมกสิณ บัดนี้พากันละทิ้งไม่ปฏิบัติธรรมประกอบในกิจที่ไม่ควรทำ
ให้ผลไม้ที่เกิดในอารามแก่พวกโยมอุปัฎฐาก
เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เพราะเหตุนี้ผลไม้ของพวกดาบสจึงไม่อร่อย
ถ้าพวกดาบสพากันปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม ผลไม้ก็จะอร่อยเหมือนเดิม
"
สาส์นที่
๑๐ พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งที่ศาลาใกล้ประตูเมืองทูลถามว่า
" เมื่อก่อนเรียนหนังสือท่องจำได้ดี
แต่บัดนี้เรียนเท่าไหร่ก็ไม่จำ เป็นเพราะเหตุไร
"
พระราชกุมารตรัสว่า
"เมื่อก่อนมีไก่ขันบอกเวลา พวกพราหมณ์หนุ่มจึงเรียนได้จำดี
แต่บัดนี้ไก่ขันไม่เป็นเวลา จึงทำให้พวกเขาเรียนหนังสือไม่ได้
และจำไม่ได้"
พระราชกุมารครั้นพยากรณ์ปัญหาหมดแล้ว ก็พระราชทานทรัพย์มากมายและบ้านให้นายคามณิจันท์
เขาได้เดินทางกลับไปส่งสาส์นตามที่พระราชาประทานแก่คนเหล่านั้น
และทำตามคำแนะนำของพระราชาทุกประการ
|