กาลครั้งหนึ่ง
ยังมีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งชื่อว่า พระยาทธิวาหนะอยู่ในเมืองพาราณสี
พระองค์ได้เก็บมะม่วงสุกผลหนึ่งซึ่งเป็นของเทวดา หล่นลอยมาตามกระแสน้ำ
ผลมะม่วงนั้นสุกหอมงดงาม ดูประหลาด พระองค์จึงเสวยอย่างอร่อย แล้วจึงรับสั่งให้นายอุทยานนำเมล็ดไปปลูก
และให้รดด้วยน้ำนมสด เจิมด้วยน้ำมันหอม ประดับด้วยดอกไม้หอม ต้นมะม่วงจึงให้ผลงาม
หอม หวาน แต่เมื่อพระองค์จะประทาน ไปเมืองอื่น จะให้ทำลายเมล็ดด้วยเหล็กแหลม
เพื่อมิให้ขึ้นที่เมืองอื่น
ยังมีพระราชาอีกองค์หนึ่งคิดอิจฉามะม่วงวิเศษ
จึงจ้างคนปลอมไปเป็นผู้ดูแลสวนมะม่วงให้พระราชา พอได้ที่ก็ปลูกบอระเพ็ดให้พันต้นมะม่วงจากต้นจนตลอดยอด
ครั้นปีรุ่งขึ้นมะม่วงออกลูกมาก็ขมกินไม่ได้ พระราชาจึงไปถามปุโรหิต
(ซึ่งเป็นอดีตชาติหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ปุโรหิต พิจารณาด้วยปัญญา
จึงกล่าวกับพระราชาว่า ต้นมะม่วงนี้มีรสขมเพราะถูกล้อมรอบด้วยความขมจากดินถึงยอด
จึงทำให้ผลมีรส ขมด้วย พระราชาจึงให้ถอนต้นบอระเพ็ดออก รวมทั้งขุดดินขม
ๆ ทิ้ง แล้วใส่ดินบริสุทธ์ รดด้วยน้ำนมสด จนต้นกลับมีรสหวานอีกครั้ง
คติธรรม
นิทานเรื่องนี้ยกมาให้เห็นว่า แม้แต่ผลไม้ยังกลับกลายเป็นของดีและชั่วได้
ด้วยความเกลือกกลั้วไปด้วยรสหวานและรสขม ใจของมนุษย์ย่อมกลายเป็นชั่ว
หากเกลือกกลั้วไปกับคนพาล เราจึงควรเลือกคบแต่นักปราชญ์ ซึ่งจะนำซึ่งความสุขความเจริญมาให้
|