ณ
เมืองหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมีฝีมือในการตีกลองได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
ไม่มีใครมีฝีมือเทียบเท่าได้ คือตีกลองได้ทั้งจังหวะและความไพเราะ
ทุกๆวัน ชายตีกลองผู้นี้จะออกไปตีกลองตามสถานที่ต่างๆ
เพื่อแลกกับเงินที่ผู้ชมมาบริจาคให้แก่เขาด้วยความเต็มใจ เพราะชอบในฝีมือการตีกลองของเขา
เขาจึงมีเงินเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อน
ชายผู้นี้มีบุตรชายคนหนึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่น
และเขาก็ได้สอนให้ลูกชายของเขาฝึกตีกลองเป็นจังหวะต่างๆ จนได้ครบทุกจังหวะ
เรียกได้ว่าฝีมือใกล้เคียงกับพ่อมากทีเดียว ฉะนั้น เมื่อไปตีกลองที่ไหนสองพ่อลูกนี้ก็จะตีกลองสลับสอดรับกันไปมา
ทำให้เสียงกลองเร้าใจผู้ฟังมากยิ่งขึ้น
วันหนึ่งมีงานนักขัตฤกษ์ในเมือง ผู้เป็นพ่อจึงพูดกับลูกว่า
"ลูกเอ๊ย วันนี้มีงานในเมือง คนคงมาเที่ยวงานกันมาก
เราไปตีกลองหาเงินกันมั้ยลูก"
"ไปซิพ่อ ผมก็คิดจะชวนพ่ออยู่เหมือนกัน
เราอาจได้เงินเป็นจำนวนมาก็ได้" ลูกชายตอบ
"เอ้า งั้นรีบเตรียมตัวออกเดินทางเลย"
พ่อบอกลูกชาย
ทั้งสองพ่อลูกรีบเดินทางเข้าไปในเมืองทันที
เมื่อถึงสถานที่จัดงานแล้วก้เลือกหาที่แสดง ช่วยกันตั้งกลองเสร็จแล้วทั้งสองพ่อลูกก็เริ่มบรรเลงกลองขึ้น
ผู้คนที่มาเที่ยวงาน เมื่อได้ยินเสียงกลองต่างก็พากันมายืนชมการตีกลองของทั้งสองพ่อลูกอย่างพออกพอใจ
พร้อมทั้งได้บริจาคเงินให้แก่สองพ่อลูกนั้นเป็นจำนวนมาก
พองานเลิกก็ดึกมากแล้ว ครั้นจะอยู่ค้างคืนที่นี่
วันพรุ่งนี้ก็จะต้องไปตีกลองที่เมืองอื่นอีก เกรงว่าจะไปไม่ทัน ฉะนั้นสองพ่อลูกจึงช่วยกันเก็บข้าวของพร้อมเก็บเงินใส่ถุงย่ามรีบเดินทางกลับบ้านทันที
เผอิญทางที่เดินกลับบ้านนั้นเป็นทางเปลี่ยว
มีโจรคอยดักจี้ปล้นผู้คนที่เดินผ่านไปมาอยู่เสมอ เมื่อเดินทางมาได้สักพักพ่อจึงบอกแก่ลูกชายว่า
"ลูกเอ๊ย ทางที่เราจะต้องเดินผ่านไปนี่เป็นทางเปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก
เพื่อป้องกันไม่ให้โจรมาปล้นเรา พ่อขอให้เจ้าตีกลองเป็นจังหวะการเดินทัพนะลูกนะ"
"ทำไมจะต้องตีกลองเป็นจังหวะการเดินทัพด้วยเล่าพ่อ
มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย" ลูกชายถามด้วยความสงสัย
"เกี่ยวสิลูก ทำไมไม่เกี่ยวละ
เพราะถ้าโจรมันได้ยินเสียงกลองในจังหวะการเดินทัพ มันก็จะกลัว จะพากันหนีไปหมด
และมันก็จะไม่มาปล้นเราไงลูก" พ่ออธิบาย
"ครับ งั้นผมก็จะตีกลองเป็นจัวหวะการเดินทัพเลยนะพ่อ"
ลูกชายรับคำ
เมื่อโจรได้ยินเสียงกลองตีเป็นจังหวะการเดินทัพ
มันคิดว่าเป็นกระบวนทัพของพระราชากำลังยกมา มันจึงพากันวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
วิ่งไปได้สักพักหนึ่งก็หยุดพักเหนื่อยอยู่กลางป่า
ฝ่ายลูกชายเมื่อตีกลองจังหวะยกทัพไปได้สักพักหนึ่งก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา
เขาจึงเปลี่ยนจังหวะการตีกลองเป็นจังหวะอื่นๆ หลายๆ จังหวะ เท่าที่เขาตีได้สลับกันไปมาอย่างคึกคะนอง
โดยไม่ปฏิบัติตามคำที่พ่อสั่ง พ่อจะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ยังคงตีกลองอย่างนั้นเรื่อยไป
ฝ่ายนายโจรนั่งพักอยู่กับลูกน้องได้ยินเสียงตีกลองเป็นจังหวะต่างๆ
สลับกัน ไม่ใช่จังหวะการเดินทัพ จึงกล่าวแก่ลูกสมุนว่า
"เฮ้ย เราถูกหลอกเสียแล้วมั่งเนี๊ยะ
พวกเอ็งลองฟังเสียงกลองสิ มันไม่ได้ตีเป็นจังหวะการเดินทัพนี่ แต่มันตีเป็นจังหวะต่างๆ
สลับกัน ข้าว่าคงเป็นฝีมือของสองพ่อลูกที่ออกไปตีกลองหาเงินแล้วเดินทางกลับบ้านเสียมากกว่า"
"งั้นเราจะทำอย่างไรดีละนาย"
ลูกสมุนโจรถาม
"เอายังงี้ก็แล้วกัน พวกเรารีบวิ่งตามเสียงกลองนั้นไป
เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่ตีกลองนั้น ถ้าเป็นสองพ่อลูกนั้น เราก็ได้จะปล้นมันเสียเลย"
แล้วนายโจรและลูกสมุนต่างก็วิ่งตามเสียงกลองนั้น
เมื่อไปทันเห็นสองพ่อลูกกำลังเดินกันอยู่ นายโจรจึงตะโกนไปว่า
"หยุด แล้วส่งเงินทั้งหมดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้
มิฉะนั้นแกสองคนพ่อลูกจะต้องตาย"
"อย่าทำร้ายข้าทั้งสองคนเลย ข้ากลัวแล้ว
เอ้า เอาเงินไป" ชายผู้เป็นพ่อพูดด้วยเสียงสั่นเครือ พร้อมทั้งส่งถุงย่ามที่ใส่เงินให้แก่นายโจร
นายโจรรับถุงย่ามมาตรวจดู เห็นมีเงินเป็นจำนวนมากก็ดีใจ
และพูดว่า
"แกสองคนพ่อลูกไปได้แล้ว และรีบไปเร็วๆ
ด้วย อย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก รีบไปเลยไป"
สองพ่อลูกต่างพากันรีบเดินกลับบ้านด้วยความเสียใจแล้วพ่อก็เอ่ยปากพูดกับลูกว่า
"ลูกเอ๋ย นี่ถ้าเจ้าเชื่อฟังพ่อ
เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดขึ้นพ่อขอบอกเจ้าว่า ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจงเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้หลักผู้ใหญ่
อย่าได้ดื้อรั้นอย่างนี้อีก ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนที่ควรจดจำ"
"ครับพ่อ ผมผิดไปแล้ว ผมขอสัญญาว่า
ต่อไปนี้ผมจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคน"
ลูกชายสารภาพผิดพร้อมทั้งให้สัญญา
|