ขอนำท่าน สู่ป่าใหญ่ แดนไพรสณฑ์
หนึจากคน นังนุง ดูยุ่งเหยิง
จาริกธรรม ในป่า พาดำเกิง
หนึจากเพลิง กระแสโลก วิโยคภัย
ณ ดินแดน ป่าใหญ่ ที่ไกลโพ้น
ยุคที่คน แสวงหา ธรรมาไสว
ยุคที่ทุกข์ บีบคั้น บั่นจิตใจ
ลัทธิน้อย ลัทธิใหญ่ ให้วกวน
มีภิกษุ สมณะ ปัญญาลึก
มุ่งรู้สึก กำหนดใจ ในไพรสณฑ์
สมถะ เป็นฐาน ผ่านกมล
พร้อมกับปน วิปัสสนา สง่างาม
กำหนดจิต แน่วแน่ ไม่แปรผัน
รู้ตามธรรม์ เอกจิต พิชิตหนาม
รู้ลึกซึ้ง อย่างยลแยบ แยกรูปนาม
ยกสังขาร สู่ไตรลักษณ์ ไม่พักเลย
ท่านดื่มด่ำ ไม่คร้าน งานกำหนด
ได้ปรากฏ ดวงปัญญา ได้มาเผย
รู้แจ้งธรรม นิรทุกข์ สุขจังเลย
ท่านไม่เคย อยากรู้ อยู่แต่ปัจจุบัน
วันเวลา ผ่านไป ท่านไม่รู้
ท่านนั้นอยู่ ในคูหา พาสุขสันต์
ไม่เคยแหงน มองไหน ในไพรวัลย์
ท่านรู้ทัน แต่กายจิต สติดู
สาตัจจะ ธรรมงาม ตามประชิด
ดูในจิต ติดตาม ธรรมสุดหรู
กาย,เวทนา ธรรม,จิต พินิจดู
ไม่อยากรู้ ไม่ปรุงแต่ง แปลงสัญญา
อยู่ในถ้ำ ไม่รู้ ว่าอยู่ถ้ำ
สติล้ำ กายจิตดู รู้สังขาร์
ดอกแคฝอย จากต้น ร่วงหล่นมา
จึงรู้ว่า เวลานี้ ถีงปีกาล
ลายบนถ้ำ วิจิตร ด้วยศิลป์ศาสตร์
ท่านไม่อาจ รู้ได้ ไม่ผสาน
ไม่เคยเงย หน้ามอง ส่องเพดาน
มุ่งแต่งาน ทางจิต ติดตามไป
เมื่อไม่เคย เอาจิตออก จากกำหนด
ใจเลยจด อารมณ์เดียว ไม่เที่ยวไหน
ถึงเมื่อยาม สิ่งร่วงซบ กระทบกาย
จึงรู้ได้ ว่ามีตน (และ)สิ่งหล่นมา
เป็นนิทาน ธรรมบท ธรรมพจน์ศาสด์
มีโอกาส เลยแต่งให้ ได้ศึกษา
เพื่อเสื่อธรรม บรรยากาศ วิปัสสนา
จากพระป่า วนาสณฑ์ อยู่บนดอย
....................
บางขณะ ที่จิต อารมณ์เดียว
ไม่ได้เที่ยว ก็สงบ พบสุขา
ตัดอารมณ์ ขาจร ที่ย้อนมา
เจตนา หาใช่ ไม่ใยดี
สมถะ ญาณิก จิตสงบ
วิปัสสนา พาประสบ พบสุขี
ทั้งสงบ ทั้งรู้ อยู่เอกี
บางวันดี บางวันร้าย ให้ได้ลอง
บางวันพบ กำหนดได้ ใจผ่องแผ้ว
บางวันแคล้ว นิวรณ์มา พาเศร้าหมอง
นี่เป็นทาง ปรมัตถ์ ต้องหัดลอง
อย่าไปข้อง ปริยัติ ไม่พัดพา
ในสมัย พุทธกาล นั้นมีเยอะ
เคยเปิดเจอะ มีพระ สะมะถา
นั่งเข้าฌาน มีไฟ ไหม้เข้ามา
ไม่รู้ว่า โดนไฟไหม้ หาใยดี
มีหลายเรื่อง ที่พี่น้อง ต้องศึกษา
อย่าจินตนา ว่าต้องเห็น เป็นเช่นนี้
ปฏิบัติ ลุ่มลึก ศึกษาที
เอากายี เป็นอุปกรณ์ บ่อนเกิดธรรม
ต้องปฏิบัติ อย่างเข้มข้น ปนอุกกฤษ์
สิ่งที่คิด อาจจะเห็น เป็นเรื่องขำ
อาจจะเจอ สิ่งแปลกใหม่ ให้ได้ทำ
พบพระธรรม ต้องทำเอง อย่าเกรงใจ
ปริยัติ คือแปลน เป็นแผนที่
ปฏิบัติ ก็มี สิ่งแปลกใหม่
แต่เมื่อเดิน ระยะทาง ที่ห่างไกล
มีหลายนัย ที่อ้างว้าง บนทางเดิน
มีวิปัสสนู- ปกิเลส เป็นเหตุผลาญ
กว่าได้ญาณ ก็ล้มลุก เกิดฉุกเฉิน
มีสิ่งเร้า สิ่งยั่ว ให้มัวเพลิน
ต้องเผชิญ กับกิเลสร้าย อยู่หลายตัว
อินทรีย์ห้า ต้องแกร่ง ด้วยแรงสู้
กับศรัตรู กรูกระหน่ำ ทำให้มั่ว
ทั้งปีติ ทั้งเบื่อหน่าย มาพายพัว
มีทั้งกลัว ทั้งวูบวาบ ปลาบพัลวัน
ต้องคอยปรับ อินทรีย์ใส ให้ได้ที่
สัทธามี เกินไป ไม่สุขสันต์
ปัญญาพ้อง ต้องตามติด ประชิดกัน
สมาธิ วิริยะนั้น คู่กันไป
ส่วนสติ ไม่มีคู่ อยู่เป็นเอก
มีเอนก หลายด้าน งานน้อยใหญ่
ดูในกาย เวทนา จิต,ธรรมใน
สติเป็นใหญ่ ในปฏิบัติ จะชัดคม
(กลอนเก่า มาเล่าใหม่)