ค้นหาในเว็บไซต์ :

พกามหาพรหม เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  

พกามหาพรหม

ย้อนไปเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ มีอยู่คราวหนึ่งพญาวสวัตตีมารเห็นมหาพรหมองค์หนึ่งนามว่าพกาพรหม ชอบคุยโม้ว่าตนนั้นมีฤทธิ์เหนือผู้ใด เขาเกิดครึ้มใจจึงเหาะไปยังวิมานของท้าวมหาพรหม จากนั้นก็ไปพูดจายกยอปอปั้น

“ ดูก่อนพกาพรหม ในสามแดนโลกธาตุนี้ ท่านนี้แลที่เป็นผู้เลิศกว่าใคร มีฤทธานุภาพแลศักดานุภาพเหนือสัตว์ทั้งปวง เป็นที่เคารพของมนุษย์แลเทวดา เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของคนแลสัตว์ ด้วยว่ามนุษย์และสัตว์ต่างก็ถูกท่านบันดาลขึ้นมานั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจักเป็นป่าไม้ภูเขาหรือว่าแม่น้ำทะเล ก็ท่านอีกนั่นแหละที่เป็นผู้สร้างขึ้นมา คราใดเมื่อคุณธรรมของมนุษย์เสื่อมถึงกาลที่โลกจักต้องพินาศ ก็มีท่านที่คอยเป็นผู้บันดาลให้เกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาไหม้โลก ฉะนั้นหากจักกล่าวว่าท่านคือผู้ที่มีตบะเดชะเหนือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ก็คงไม่น่าเกินเลยกระมัง หรือท่านมีความเห็นใด? ”

หลังจากกล่าวคำสรรเสริญแล้วพญามารก็ไม่รอคำตอบจากท้าวพกาพรหม รีบอำลาเขากลับยังที่อยู่แห่งตนทันที ฝ่ายพรหมผู้หลงตน ครั้นฟังคำยอของพญามารซึ่งเป็นคำพูดโคมลอย ไม่เป็นความจริง หาสาระมิได้ กระนั้นเขาก็ยังหลงเพลินอยู่กับคำลวงเหล่านั้นจนเกิดทิฐิวิบัติขึ้นในใจ “ ชะรอยหรืออาตมาจักเป็นดั่งที่ท้าววสวัตตีว่า ด้วยอาตมานี้เป็นผู้ไม่แก่ ไม่เจ็บ แลไม่ตาย เป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าสัตว์ทั้งปวง พระนิพพานที่เขากล่าวว่าเป็นสถานที่อันบรมสุข ก็คงจักเป็นแต่เพียงคำกล่าวลมๆเท่านั้น หาได้มีสถานที่ดังว่าไม่ ”

ครานั้นเองด้วยความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนของพกาพรหมที่ว่าพระนิพพานเป็นสิ่งโคมลอย ไม่เป็นความจริง ก็ได้ทราบถึงพระศาสดาซึ่งกำลังประทับอยู่ที่โคนต้นรัง ณ ป่าสุภควัน ดังนั้นเพื่อจักสงเคราะห์พรหมเขลาให้คลายจากทิฐิวิบัติ องค์บรมครูจึงเสด็จจากโลกมนุษย์ขึ้นไปยังพรหมโลกด้วยเวลาเพียงชั่วบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนของตนออก แล้วงอกลับเท่านั้น

ขณะนั้นพกาพรหม ซึ่งกำลังอิ่มอกอิ่มใจอยู่กับคำยอของพญามาร พอเห็นสมณรูปหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเขาก็ให้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยกำลังอยากจักหาใครสักคนมาเป็นที่ระบายพอดี ดังนั้นจึงกล่าวขึ้น “ ดูก่อนท่านผู้เป็นดั่งเรา การที่ท่านมายังวิมานของข้าพเจ้านี้ก็ดีแล้ว เราจักได้สนทนากัน ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นนิจจัง ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ไม่มีสิ่งใดในสามโลกนี้ที่สามารถดับทุกข์ในใจของสรรพสัตว์ได้ ท่านเห็นเป็นเช่นไร? ”

สมเด็จพระศาสดาครั้นทรงสดับวาจาของพรหมเขลาจึงตรัสเตือนสติ “ ดูก่อนมหาพรหม! บัดนี้จิตท่านได้ถูกอวิชชาเข้าห่อหุ้มแล้ว สิ่งที่ท่านกล่าวมันหาได้เป็นดั่งที่ท่านเข้าใจไม่! ” พกาพรหมพอได้ฟังดังนั้นก็ไม่พอใจ จึงโต้กลับไป “ นี่สมณ! สถานที่ที่ข้าพเจ้าอยู่ล้วนมีแต่ความสุข มีแต่ความเพลิดเพลิน จักหาทุกข์ทั้งสี่อันเกิดมาแต่ ชาติ ชรา พยาธิ แล มรณะ มิได้ แล้วอย่างนี้ท่านยังจักกล่าวว่าไม่เที่ยงได้อย่างไร? ” สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีของเขาจึงตรัส

“ ดูก่อนพรหม เรารู้ท่านนั้นมีอายุยืนยาวยิ่งกว่าสัตว์ทั้งปวง เปี่ยมฤทธานุภาพแลศักดานุภาพอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ดวงอาทิตย์แลดวงจันทร์ที่มีรัศมีอันรุ่งเรือง ก็หาได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุเหมือนดั่งรัศมีกายของท่านไม่ แหละเราก็รู้อีกว่า บัดนี้จิตท่านกำลังถูกอัคคีของกิเลสเผาผลาญอยู่ แล้วอย่างนี้ท่านยังจักกล่าวว่ามีความสุขอยู่หรือ? อีกประการตัวท่านก็มักอ้างว่าตนนั้นมีฤทธิ์เหนือผู้ใด เราอยากถามว่าท่านพอจักบอกได้หรือไม่ถึงที่อยู่แห่งพรหมชั้นที่สูงไปกว่าท่าน อย่างเช่น อาภัสสราพรหม สุภกิณหาพรหม หรือเวหัปผลาพรหมเป็นต้น ”

ขณะนั้นปรากฏได้มีหมู่พรหมเป็นจำนวนมากพากันออกจากวิมานมาดูการโต้ตอบคำพูดของเพื่อนผู้อวดตนกับสมเด็จพระศาสดา พรหมดื้อเมื่อเห็นเพื่อนพรหมต่างมองมายังตนเหมือนจักถามกลายๆว่าไฉนจึงยังไม่ตอบคำถามของพระสมณโคดมเล่า ก็ให้รู้สึกเสียหน้าแลอับอายเป็นอย่างยิ่ง แต่ครั้นจักตอบออกไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจักตอบเช่นไร จึงแกล้งเฉไฉถามกลับว่า

“ ดูก่อนสมณะ! การที่ท่านกล่าวเยี่ยงนี้ก็เหมือนดั่งว่ามีแต่ท่านเท่านั้นที่รู้คติแลวิบากของสรรพสัตว์ คำพูดของท่านข้าพเจ้าหาได้เชื่อถือไม่ ขนาดข้าพเจ้าซึ่งมีฤทธิ์เหนือผู้ใดยังมิทราบ แล้วไฉนตัวท่านซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งจึงจักทราบเล่า? ” สมเด็จพระศาสดาครั้นทรงสดับวาจาอวดตนของเขา จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสกับพกาพรหม

“ ดูก่อนพกาพรหม! คำหนึ่งท่านก็ว่าตัวท่านนั้นมีฤทธิ์เหนือผู้ใด สองคำท่านก็ว่าท่านนั้นมีฤทธิ์เหนือผู้ใด เราอยากขอให้ท่านจงแสดงฤทธิ์สักอย่างให้เป็นที่ปรากฏแก่เราจักได้มั้ย อย่างเช่นจงกำบังกายอย่าให้เราเห็น ไม่ทราบท่านพอจักทำได้หรือไม่? ” พกาพรหมพอฟังก็ให้นึกกระหยิ่มในใจ “ กับเพียงแค่แสดงฤทธิ์หายตัว มันจักยากอันใด ” ว่าแล้วเขาก็เนรมิตกายให้หายไปจากที่นั้นทันที

เหล่าเพื่อนพรหมที่เฝ้าจับจ้องอยู่ ณ ที่นั้น จู่ๆเห็นเพื่อนผู้ชอบอวดตนหายไปต่อหน้า ต่างก็พากันเหลียวหน้าเหลียวหลังมองหากันให้เลิ่กลั่ก แต่ไม่ว่าจะหาเท่าใดก็หาไม่เจอ จึงเริ่มรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาบ้าง แต่ถึงเขาจักหลบไปจากสายตาของเพื่อนพรหมด้วยกันได้ก็ริง แต่ทว่าก็หาได้รอดจากสายพระเนตรแห่งองค์พระสยัมภูไม่ ไม่ว่าเขาจักหลบไปซ่อนที่ใดจอมมุนีก็ทรงชี้ตำแหน่งได้อย่างถูกต้องทุกครั้ง จนเขาไม่อาจจักหาที่หลบได้อีก สุดท้ายจำต้องเหาะไปนั่งหน้ามุ่ยแสดงกายให้เป็นที่ปรากฏอยู่ในวิมานตน

บรรดาพรหมเมื่อเห็นเพื่อนผู้อวดตนพ่ายให้กับสมเด็จพระศาสดา ต่างก็พากันแย้มยิ้มออกมา เหมือนดังจักว่าเยาะก็มิใช่จักว่าเอ็นดูก็มิเชิง นั่นยิ่งทำให้พกาพรหมรู้สึกเสียหน้าเข้าไปใหญ่ ดังนั้นด้วยอารมณ์พาลเขาจึงกล่าวกับองค์บรมครู“ เอาเถิดสมณ! ข้าพเจ้ายอมรับว่าท่านก็พอจักมีฤทธิ์อยู่บ้าง สามารถมองเห็นข้าพเจ้าได้ บัดนี้ขอท่านจงแสดงฤทธิ์หายตัวให้เป็นที่ประจักษ์แก่ข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าจักขอดูซิว่าท่านจักสามารถหลบไปจากสายตาของข้าพเจ้าได้หรือไม่ ”

องค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับวาจาเสียดสีของท้าวมหาพรหม จึงทรงแสดงพุทธฤทธิ์หายไปจากที่นั้นทันที ฝ่ายพกาพรหมซึ่งเฝ้าจ้องมองพระองค์อย่างไม่กระพริบตา จู่ๆไม่เห็นจอมมุนีไปเสียยังงั้น ก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น ไม่รู้ว่าพระทรงอันตรธานไปตั้งแต่เมื่อใด นอกจากตัวเขาจักมองไม่เห็น พรหมทุกรูปที่อยู่ ณ ที่นั้นก็หาได้มีรูปใดมองเห็นเช่นกัน

แล้วบัดนั้นเอง ทั่วทั้งพรหมโลกก็กังวานไปด้วยพระสุรเสียงขององค์จอมปราชญ์ ตรัสแสดงพระธรรมิกถาเทศนาสั่งสอนเหล่าพรหม จนสมควรแก่เวลาพระองค์จึงทรงแสดงพระวรกายให้เป็นที่ปรากฏ แล้วจึงทรงประทานพระพุทธโอวาทแก่พกาพรหม เพื่อจักทรงสั่งสอนให้เขาคลายจากทิฐิวิบัติ

“ ดูก่อนพกาพรหม! ตัวท่านนั้นมืดบอดด้วยถูกอวิชชาเข้าครอบงำ แต่กลับกระทำดั่งว่าตนนั้นเป็นผู้เรืองปัญญา มากด้วยปรีชาสามารถ เปรียบไปก็ไม่ต่างจากบุรุษเข็ญใจได้ผ้าใหม่มาหนึ่งผืน ก็สำคัญว่าตนนั้นมียศแลศักดิ์เหนือผู้ใด ท่านพอจักบอกได้มั้ยว่าตัวท่านนั้นมาจากที่ใด? ไฉนจึงมาอุบัติยังพรหมโลกได้? ” ท้าวพกาพรหมเมื่อเห็นพุทธฤทธิ์ที่ทรงเนรมิตพระวรกายให้หายไปจากสายตาของตนได้เขาก็เริ่มระย่อต่อฤทธิ์ของจอมมุนีแล้ว ครั้งนี้พอถูกถามจึงมิกล้าแสดงอาการเหิมเกริมอีก ค่อยๆยกมือพนมตอบพระองค์ว่า

“ ข้าแต่มหาสมณะ อันที่จุติแลปฏิสนธิของข้าพระบาทนั้น ตัวข้าพระบาทเองก็ยังไม่แจ้ง พระพุทธเจ้าข้า หากแม้นพระองค์ทรงทราบ ขอทรงประทานคำตอบให้แก่ข้าพระบาทด้วยเถิด ” สมเด็จพระพุทธองค์ครั้นทรงเห็นว่าเขาคลายจากพยศแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฎีกาประทานแก่พรหมทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้น

“ สมัยหนึ่งเมื่อโลกยังว่างจากพระศาสนา ครานั้นพกาพรหมผู้นี้ได้ถือกำเนิดอยู่ในตระกูลคหบดี วันหนึ่งเขาเกิดเบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกขึ้นมา ด้วยเห็นถึงความไม่เที่ยงของกาย ไหนจักต้องแก่ ไหนจักต้องเจ็บ ไหนจักต้องตาย จึงปลีกกายไปบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญตบะบารมีอยู่ในป่า จนสำเร็จจตุตถฌาน ครั้นตายจากมนุษย์ด้วยกำลังแห่งฌานที่เขาบำเพ็ญได้ จึงนำให้เขาไปเกิดยังพรหมโลกชั้นเวหัปผลา เสวยสุขจากผลฌานอยู่เป็นเวลาช้านาน

จนกำลังแห่งฌานเสื่อมถอยจากจุตตถฌานมาอยู่ที่ตติยฌาน จึงจุติจากชั้นเวหัปผลามาเกิดเป็นสุภกิณหาพรหม เสวยสุขอยู่ชั้นนี้ต่ออีกเป็นเวลาช้านานเช่นกัน จนกำลังแห่งฌานเสื่อมจากตติยฌานถอยมาอยู่ที่ทุติยฌาน จึงจุติจากสุภกิณหาพรหมมาบังเกิดเป็นอาภัสสราพรหม แลสุดท้ายกำลังแห่งฌานก็ได้เสื่อมจากทุติยฌานถอยมาอยู่ที่ปฐมฌาณ เขาจึงจุติจากอาภัสสราพรหมมาเกิดเป็นมหาพรหมอยู่ในชั้นนี้ ด้วยเหตุที่ท่องอยู่แต่พรหมโลกมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้นจึงเกิดมิจฉาทิฐิคิดว่าตนนั้นเที่ยงไม่เปลี่ยนแปร ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ แลไม่มีตาย ทั้งนี้ก็เพราะสาเหตุดังกล่าวนี้แล ”

พกาพรหมพอได้ฟังพระพุทธฎีกาก็เกิดอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น รู้สึกว่าพระสมณโคดมผู้นี้ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลกยิ่งกว่าผู้ใด ทรงมีพระปัญญาเหนือสัตว์ทั้งปวง ทรงเป็นผู้รู้เหตุรู้ผล สมควรจักต้องเทิดทูนไว้ในตำแหน่งอันสูงสุด ดังนั้นเขาจึงนมัสการพระองค์ด้วยการเปล่งวาจาว่า “ สัมมาสัมพุทธัสสะ ” คำพูดที่พกาพรหมกล่าวในครั้งนั้น พระสมัยโบราณท่านรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงนำมารวมไว้ในคำขึ้นต้นบูชาคุณพระรัตนตรัยหรือที่เรียกกันว่า บทบุพภาคนมัสการ อันได้แก่ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง! ที่มาของวลีทั้งห้านี้ แต่ละตำราก็มีการอ้างอิงเอาไว้ต่างกัน แต่ที่จักนำมาแสดงให้ทราบไว้ ณ ที่นี้ พระสมัยโบราณท่านจารึกว่าเป็นคำกล่าวของพระเจ้าห้าพระองค์ คือ :

นะโม มาจากครั้งที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคประทับยังวิมานของอาฬวกยักษ์ ครานั้นมียักษ์สองตนนามว่า สาตาคิรายักษ์ กับ เหมวตายักษ์ ยักษ์ทั้งสองมีธุระจักต้องเหาะผ่านบริเวณนั้นพอดี ขณะที่ทั้งคู่กำลังเข้าใกล้วิมานของอาฬวกยักษ์ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ จู่ๆเขาทั้งสองก็ร่วงจากฟ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ทั้งคู่จึงกำหนดจิตดู ทันใดก็ทราบว่าเวลานี้สมเด็จพระศาสดากำลังประทับอยู่ในวิมานของอาฬวกยักษ์ ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อพระองค์ เขาทั้งสองจึงเปล่งวาจาออกมาพร้อมกันว่า “ นะโม ” คำกล่าวของยักษ์ทั้งสองนี้ พระในยุคโบราณท่านรู้สึกซาบซึ้ง จึงนำมาเป็นวลีแรกของคำขึ้นต้นบทบุพภาคนมัสการ.

ตัสสะ มาจากเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ครานั้นมีอสูรตนหนึ่งนามว่า อสุรินทราหู เป็นผู้มีกายสูงใหญ่กว่าเทวดาใดๆ เขามีจิตปรารถนาอยากจักเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคสักครั้ง เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าทรงเป็นผู้เลิศกว่าใครในหล้า แต่พอมาคิดว่าตนนั้นมีกายที่ใหญ่โตผิดจากเทพทั่วไป การจะเข้าไปก้มมองพระองค์ที่เป็นมนุษย์ตัวกะจ้อยร่อย เห็นเป็นการมิบังควร ระหว่างทางมาสู่สำนักแห่งพระโลกุตรมาจารย์ เขาก็เฝ้ารำพึงกับตนเองว่าจักทำอย่างไรดีหนอ จึงจักไม่เป็นการลบหลู่ต่อพระองค์สมเด็จพระศาสดาทรงทราบถึงความกังวลใจของอสูรตนนี้ จึงตรัสให้พระอานนท์จัดพระแท่นบรรทมใหม่ แล้วพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกายในพุทธลักษณะสีหไสยาสน์ มีขนาดใหญ่ปานว่าแทบจักถึงท้องฟ้าก็ว่าได้ พออสุรินทราหูมาถึงแทนที่เขาจักต้องก้มมองพระองค์ ที่ไหนได้กลับต้องแหงนคอตั้งบ่าทอดทัศนาแทน เมื่อเห็นถึงพระพุทธานุภาพอันประมาณมิได้ของสมเด็จพระทศพล เขาก็เกิดศรัทธาขึ้นมาท่วมท้น จนถึงกับเปล่งวาจาว่า “ ตัสสะ ” คำกล่าวของอสุรินทราหูนี้ พระในยุคโบราณท่านก็รู้สึกทราบซึ้งเช่นกัน จึงนำมาเป็นวลีที่สองของบทบุพภาคนมัสการ.

ภะคะวะโต มาจากคราวที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงเสร็จจากการเสวยธรรมปีติเป็นเวลา ๔๙ วัน สายวันนั้นมีพ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะผ่านทางมา ทั้งสองพอเห็นพระองค์ประทับอยู่ ณโคนต้นเกดก็เกิดศรัทธา จึงนำก้อนสตูข้าวแลสตูผงมาถวาย เพลานั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคมิได้มีภาชนะใดจักทรงใช้รับภัตตาหาร จึงทรงดำริขึ้น“จักเคยมีไหมหนอที่พระพุทธเจ้ารับบิณฑบาตด้วยมือทั้งสอง?” ทันทีที่ทรงมีพระพุทธดำริดังนี้ ท้าวมหาราชทั้งสี่ซึ่งต่างทราบในพระพุทธอัธยาศัย แต่ละองค์จึงไม่รอช้า รีบนำเอาบาตรของตนเหาะมาจากทิศทั้งสี่ทันทีทันใด พอมาถึงต่างก็ยื่นบาตรของตนให้กับจอมมุนีเพื่อทรงใช้รับภัตตาหารแทนพระหัตถ์ สมเด็จพระศาสดาเมื่อทรงเห็นพวกเขายื่นบาตรมาให้พร้อมกัน เพื่อจักทรงรักษาศรัทธาพวกเขา จึงทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปรับเอาบาตรทั้งสี่ไว้ จากนั้นก็ทรงอธิษฐานจิตผสานให้บาตรสี่ใบรวมเป็นใบเดียว ยังความปลาบปลื้มใจให้กับท้าวมหาราชทั้งสี่เป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับเปล่งวาจาออกมาพร้อมกันว่า “ ภะคะวะโต ” คำกล่าวของท้าวจตุโลกบาลนี้ พระในยุคโบราณท่านก็รู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน จึงนำมาเป็นวลีที่สามของบทบุพภาคนมัสการ.

อะระหะโต มาจากเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ถ้ำอินทสาลเทือกเขาเวทยิก ติดกับหมู่บ้านอัมพสัณฑคาม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงราชคฤห์ ครานั้นท้าวสักกะมีความสงสัยในข้อธรรมบางประการจึงเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาทูลถามปัญหากับพระองค์ สมเด็จพระชินสีห์ได้ทรงตอบข้อซักถามของจอมเทพผู้เลื่องชื่อจนหมดข้อสงสัย จนท้าวเธอทรงเกิดดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ณ ที่นั้น ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันประมาณมิได้จอมเทพพระองค์นี้จึงตรัสสรรเสริญสมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า “ อะระหะโต ” คำกล่าวของเทพราชันนี้ พระในยุคโบราณท่านก็รู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน จึงนำมาเป็นวลีที่สี่ของบทบุพภาคนมัสการ.

ส่วน “ สัมมาสัมพุทธัสสะ ” อันเป็นวลีที่ห้าก็อย่างที่กล่าวไว้แล้ว คือพกาพรหมเป็นผู้เอ่ย ดังนั้นเมื่อรวมวลีทั้งห้าเข้าด้วยกันคือ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ก็จักได้บทบุพภาคนมัสการที่แปลว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ที่เราใช้เป็นคำขึ้นต้นก่อนจักสวดมนต์ หรือก่อนจักทำพิธีใดๆทางพุทธศาสนานั่นเอง

สืบ ธรรมไทย

ที่มา : พุทธชาดก

9






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย