นาคราชผู้อาภัพ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
นาคราชผู้อาภัพ
ครั้งหนึ่งสมัยที่พระศาสดาพระนามว่า“กัสสปะ” ยังคงประกาศสัจธรรมอยู่ สมัยนั้นอายุมนุษย์หากนับเป็นจำนวนปีเหมือนยุคปัจจุบัน มนุษย์ยุคนั้นจะมีอายุยืนยาวถึง ๒ หมื่นปีทีเดียว ระหว่างที่สมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ พุทธศาสนาถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนอินทร์พรหมยมยักษ์ พวกเขาต่างได้รับประโยชน์จากหลักธรรมคำสอนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
สัตว์ตนไหนพอจักมีปัญญาหน่อยก็สามารถเข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ ตนไหนมีปัญญามากขึ้นไปอีกก็ได้ครองสวรรค์สมบัติหรือไม่ก็พรหมสมบัติ แลตนใดหากมีปัญญาแก่กล้าถึงที่สุด สามารถประหารเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ เขาก็สามารถครอบครองสิ่งอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนานั่นก็คือพระนิพพานสมบัติ ตัดขาดชาติภพไปเลย ไม่ต้องกลับมาเกิดให้มันยุ่งยากอีก แต่ทั้งนี้ตนใดจะได้ขั้นไหน ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของเจ้าตัวเอง ว่าจะมีมากมีน้อยเพียงใด ดังนั้นสรรพสัตว์ยุคนั้นจึงมีความชุ่มชื่นในธรรมกันโดยถ้วนหน้า
ครานั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งเขามีใจเลื่อมใสในหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งมิทราบว่าเป็นด้วยบุญหรือกรรม อยู่ๆเขาก็เกิดเบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกขึ้นมา ปรารถนาจักออกจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร จึงสละเพศฆราวาสเข้ามาบวชเป็นพุทธบุตรภายใต้ร่มเงาพระศาสนา
หลังอุปสมบทแล้วภิกษุรูปนี้ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่งยวด หวังจักขจัดเสียซึ่งกิเลสที่มีในใจให้หมดสิ้น แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดท่านก็ไม่อาจพัฒนาจิตใจให้เจริญก้าวหน้าได้ ทั้งนี้อาจเป็น เพราะสภาพแวดล้อมที่ท่านอาศัยนั้น ไม่เอื้อต่อการเจริญพระกรรมฐาน ดังนั้นท่านจึงคิดจักหาสถานที่อันเงียบสงบตามป่าตามเขา เพื่อปฏิบัติธรรมยังความเพียรให้ถึงที่สุด!
หลังจากตัดสินใจจึงจ้างเรือลำหนึ่งให้ล่องไปตามลำน้ำ เสาะหาสถานที่อันเป็นสัปปายะ เหมาะต่อการบำเพ็ญภาวนา ระหว่างที่เรือแล่นไปนั้นเนื่องจากไม่มีสิ่งใดจักทำท่านจึงเผลอสติยื่นมือออกไปราน้ำเล่นเพลินๆ แต่เนื่องจากท้องน้ำบริเวณนั้นมีต้นตะไคร่น้ำขึ้นอยู่หนาแน่น ขณะที่มือของท่านราน้ำจู่ๆท่านก็รู้สึกว่านิ้วไปโดนเข้ากับอะไรสักอย่าง ลักษณะลื่นๆนิ่มๆ ด้วยความตกใจจึงยกขึ้นมาดู ทันใดก็เห็นใบตะไคร่น้ำใบหนึ่งขาดติดอยู่ที่นิ้ว
พอเห็นดังนั้นท่านก็พลันได้สติ แหละรู้ว่าตนได้ต้องอาบัติข้อห้ามพรากของเขียวออกจากต้นเข้าแล้ว แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่สะดวกต่อการปลงอาบัติ อีกทั้งบนเรือก็ไม่มีภิกษุอื่นจะให้แสดงอาบัติด้วย ดังนั้นท่านจึงคิดว่าขึ้นฝั่งเมื่อใดค่อยไปหาเพื่อนภิกษุแสดงอาบัติก็แล้วกัน แต่เหตุการณ์มันหาได้เป็นดั่งคิดไม่ ขณะนั้นเรือน้อยได้แล่นผ่านถ้ำแห่งหนึ่งเข้าพอดี ตั้งอยู่บนเชิงเขา ห้อมล้อมด้วยขุนเขาแลราวป่า พอเห็นแวบแรกท่านก็รู้สึกชอบใจ จึงสั่งคนเรือให้หยุดเรือ
หลังชำระค่าโดยสารท่านก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม คว้าบาตรคว้าย่ามได้ก็รีบลงจากเรือปีนขึ้นไปยังถ้ำที่เห็นทันที เมื่อขึ้นไปถึงจึงพบว่ามันเป็นถ้ำที่สะอาดสะอ้าน เหมาะจักใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาจริงๆ หน้าถ้ำหันเข้าหาทิศทางลม เพดานถ้ำมีช่องโหว่เป็นปล่องขึ้นไป ทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาภายในถ้ำได้ ฉะนั้นจึงไม่มีกลิ่นอับกลิ่นชื้นเหมือนถ้ำทั่วไป
หลังจากสำรวจจนทั่วท่านก็ยิ่งพออกพอใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจจะใช้ถ้ำนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม พอมาเจอสถานที่ถูกใจ จิตใจท่านก็พลันปลอดโปร่งโล่งสบาย จนลืมไปเลยว่าตนได้ต้องอาบัติ และที่สำคัญยังไม่ได้ปลงอาบัติด้วยต่างหาก!
นับจากขึ้นฝั่งมาท่านก็ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว มิได้มีใจเฉลียวไปคิดเรื่องใด วันคืนจะผ่านไปเท่าไหร่ท่านก็ไม่เคยสนใจจดจำ จนกาลเคลื่อนผ่านจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นร้อยปี พันปี จนถึงสองหมื่นปี ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึงสองหมื่นปีหากคิดอย่างเราๆท่านๆ ก็คงคิดว่าภิกษุรูปนี้คงต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วแน่นอน โดยมิต้องสงสัย แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้นมันกลับมิได้เป็นเหมือนดังที่คิดกัน
ระยะเวลาสองหมื่นปีมันไม่ได้ทำให้ท่านสำเร็จมรรคผลแต่อย่างใด ท่านยังคงเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนดั่งเราๆท่านๆ ไม่มีปัญญาญาณหรือความหยั่งรู้ใดที่จักไปขจัดกิเลสให้หมดไปจากใจ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบารมีสิบของท่านยังไม่แก่กล้าพอ หรือเป็นเพราะกรรมเก่าที่สร้างเอาไว้ตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่ทราบ ย้อนมาสนองให้ผล ดังนั้นท่านจึงไม่อาจบรรลุธรรมได้
พอถึงคราวจักละธาตุขันธ์เหตุการณ์ที่ล่วงอาบัติไว้จึงผุดขึ้นในมโนทวาร คอยเผาผลาญจิตใจท่านมิให้สงบ และก็ให้บังเอิญเสียนี่กระไร ท่านได้ถึงกาลสิ้นใจในช่วงเวลานั้นพอดี! การตายในขณะที่จิตกำลังเศร้าหมองทุกท่านก็น่าจักทราบดี ภพใหม่ภูมิใหม่ที่จะไปเกิดมันจะเป็นสุคติไปได้อยางไร ฉะนั้นพอท่านตายจากมนุษย์ จิตท่านก็ไปปฏิสนธิในท้องของสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาคทันที
พญานาคผู้มีอดีตชาติเป็นพระภิกษุตนนี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็รู้ว่าตนนั้นต่างจากเพื่อนพญานาคทั่วไป เขาสามารถที่จะระลึกชาติได้ รู้ว่าชาติที่ผ่านมาตนเคยเกิดเป็นอะไร ดังนั้นกิริยาที่แสดงต่อเพื่อนพญานาคด้วยกันจึงไม่เหมือนกับพญานาคทั้งหลาย
เขาสามารถที่จะระงับความโกรธได้ดีกว่าพญานาคตนอื่นๆจักพึงกระทำได้ เขามีความสุขุมสำรวมสุภาพอ่อนน้อม เกินกว่าพญานาคทั่วไปจักพึงมี ยิ่งกว่านั้นหากพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาเขาก็เป็นพญานาคที่มีหน้าตาคมสันสง่างามเหนือพญานาคใดๆ(เพิ่งจะรู้ว่าพญานาคก็มีสวยมีหล่อหมือนกัน) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาเคยบวชเป็นพระมาก่อนก็เป็นได้ ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติอันพิเศษเหล่านี้เหนือพญานาคทั้งมวล
แหละพอท้าวนาคราชผู้เป็นราชาแห่งนาคภิภพสิ้นชีพลง บรรดานาคทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ยกให้เขาขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ปกครองพิภพบาดาลต่อจากราชาองค์ก่อนทันที นอกจากนั้นยังตั้งชื่อให้เขาใหม่ว่า พญาเอรกปัตตนาคราช
พญาเอรกปัตตนาคราชหลังขึ้นครองราชย์แทนที่จะมีความสุขกับลาภยศสรรเสริญ เพราะเป็นถึงราชาแห่งนาคทั้งหลาย ที่ไหนได้ กลับมิได้เป็นดังนั้น บ่อยครั้งที่นาคบริวารเห็นเขาเศร้าหมองไม่สดชื่นเหมือนที่ควรเป็น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเจ้าความสามารถพิเศษที่ระลึกชาติได้นั่นเองที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้!
ทุกครั้งที่เขานึกถึงอดีตชาติขึ้นมาคราวใด จิตใจก็มักจักโศกเศร้าทุกครั้งไป เพราะทั้งๆที่เคยเกิดเป็นถึงมนุษย์ มิหนำซ้ำยังได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แถมยังถือศีลปฏิบัติธรรมมานานถึงสองหมื่นปี แต่ไฉนเขาจึงมามีอัตภาพที่ต่ำต้อยด้อยค่าถึงปานฉะนี้ ต้องมาถือกำเนิดเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือเป็นชาติภพที่ต่ำทราม ห่างไกลจากมรรคผลนิพพานเป็นอย่างยิ่ง! ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้
เขามักจักถามตัวเองอยู่เนืองๆ จึงเป็นผลสืบเนื่องทำให้จิตใจต้องทุกข์ตรม มิเคยจะแช่มชื่นสุขสมเหมือนกับพญานาคตนอื่นเขา เขาเฝ้าแต่รอว่าเมื่อใดหนอ จึงจะมีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้เสียที วันนั้นคงจักเป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุด เขาจะเข้าไปกราบพระองค์ เขาจะขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรมให้เขาฟัง เขาจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมใหม่ เพื่อขจัดความเศร้าในใจให้หมดสิ้นไปให้ได้ แลความปรารถนาอื่นอีกมากมายที่เขาวาดฝันไว้
โดยหารู้ไม่ว่าการที่ตนถือกำเนิดเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น แม้จักพากเพียรกระทำความดีเพียงใด หรือจักตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเพียงไหน มันก็ไม่อาจทำให้เขาเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ในขณะที่ยังมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ดอก! จะได้อย่างมากก็สวรรค์สมบัติเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้มันคือความหวังเดียวของเขา ที่จะทำให้เขามีพลังต่อสู้ชีวิตต่อไปได้!
จนวันหนึ่งเขาก็ได้ผุดความคิดว่า “โอ้หนอ! การที่เรามัวแต่รออยู่เพียงถ่ายเดียว คงมิเป็นการดีแท้ เพราะจักรู้อย่างไรเล่าว่าบัดนี้บนโลกมนุษย์มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้แล้ว อย่ากระนั้นเลย จำเราจักต้องขึ้นไปดูด้วยตาตนเองจึงจักเป็นการดีที่สุด!”
เมื่อคิดดังนี้เขาจึงชวนนางนาคมานวิกาผู้เป็นธิดาพากันขึ้นมายังโลกมนุษย์โดยพลัน จากนั้นก็ไปลอยตัวแผ่พังพานแสดงกายให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนใกล้กับฝั่งของคงคามหานที มีนางนาคเทวีแปลงกายเป็นหญิงงามยืนร้องเพลงอยู่บนเศียรอีกทีหนึ่ง เกิดเป็นภาพประหลาดมหัศจรรย์ ดึงดูดผู้คนให้มามุงดูกันจนเนืองแน่นไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำ เนื้อหาในเพลงที่นางนาคสาวขับขานนั้น เป็นคำถามปริศนาถามกับผู้คนรอบข้างว่า :
“ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่าพระราชา
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี
คนพาล มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ ”
สองพญานาคพ่อลูกเฝ้าถามผู้คนในทุกๆวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำอย่างนี้เรื่อยมา จนกาลล่วงไปหนึ่งพุทธันดรก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามของนางได้ จนกระทั่งสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูของพวกเราได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
วันหนึ่งก่อนอรุณรุ่งขณะที่พระองค์ทรงปฏิบัติพุทธกิจเหมือนเคย คือทรงเล็งพระญาณสอดส่องดูว่าเช้านี้จักมีสัตว์ตนใดบ้างเข้าข่ายบรรลุธรรมบ้าง ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเห็นภาพของบุรุษผู้หนึ่งนามว่า อุตร ปรากฏขึ้นในมโนทวาร
บุรุษผู้นี้หลังจากฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วเขาจะบรรลุโสดาปัตติผล จากนั้นจักเป็นคนไปไขปริศนาที่นางนาคเทวีถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานแต่ไม่มีใครตอบได้ ให้ประชาชนทั้งหลายได้รับทราบคำตอบกัน ดังนั้นพอปัจจุสมัยพระองค์จึงเสด็จไปประทับรออยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ใกล้กับทางเดินที่จักลงไปสู่ฝั่งแม่น้ำ
จากนั้นไม่นานก็ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากทั้งชายแลหญิง กำลังมุ่งมายังที่ซึ่งพระองค์ประทับ บุคคลเหล่านี้ต่างปรารถนาจักไปดูความแปลกประหลาดของพญานาคพ่อลูกที่กำลังทำการแสดงอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา แหละในกลุ่มคนจำนวนนี้ ก็มีอุตรมานพร่วมทางมากับเขาด้วยผู้หนึ่ง
ขณะขบวนกำลังจะผ่านโคนไม้ที่ประทับ สมเด็จพระศาสดาได้ตรัสเรียกให้อุตรหยุดก่อน บุรุษหนุ่มซึ่งกำลังเดินตามผู้คน พอได้ยินพระดำรัสเรียกชื่อของตนเขาจึงหันไปมอง ทันใดก็เห็นที่โคนไม้ห่างจากทางเดินออกไปไม่มากมีสมณรูปหนึ่งกำลังมองมาที่ตน ผิวพรรณของนักบวชรูปนี้จากที่เห็นนั้นช่างผ่องใสเสียนี่กระไร กิริยาหรือก็ดูสำรวม มองแล้วชวนให้เกิดศรัทธา นานๆทีจึงจะเจอนักบวชที่มีกิริยาท่าทางเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงคิดะเข้าไปสนทนากับท่านสักหน่อย คงไม่น่าจะเสียเวลาสักเท่าใด
แต่พอเขาเข้าไปใกล้จนเห็นท่านเต็มตาเท่านั้น ก็ต้องถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากไม่คาดคิดว่าสมณเบื้องหน้าจักกลายเป็นพระสมณโคดมที่ผู้คนเลื่องลือว่าทรงเป็นศาสดาเอกของโลกไปได้! ดังนั้นจึงรีบคุกเข่าก้มลงกราบทันที องค์บรมครูเมื่อทรงเห็นกิริยาอันนอบน้อมที่เขาแสดง จึงตรัสทักไป “ ดูก่อนอุตร เธอจักไปยังที่ใดฤา? พอจักบอกให้เรารู้ได้มั้ย? ”
บุรุษหนุ่มเมื่อเห็นองค์จอมปราชญ์ตรัสทักทายเป็นกันเอง มิได้ทรงถือตัว เขาก็ยิ่งรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสมากเข้าไปใหญ่ รีบละล่ำละลักตอบกลับไป “ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าใครในโลกหล้า ข้าพระบาทมีความประสงค์จักไปชมความครึกครื้นของผู้คน แลปรารถนาจักได้ยลโฉมของนางนาคมานวิกา ผู้ที่ผู้คนเลื่องลือกันว่างามราวเทพนารี ณ ริมฝั่งคงคามหานทีพระพุทธเจ้าข้า ”
สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีของบุรุษหนุ่มก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสกับเขา “ ดูก่อนอุตร เมื่อเธอจักไปดูนางนาคมานวิการ้องเพลงถามปัญหาผู้คนก็ดีแล้ว อย่างนั้นเธอจงตั้งใจฟังกถาที่เราจักแสดงต่อไปนี้ให้ดี เพื่อเธอจักได้ตอบคำถามของนางได้ ”
อุตรมานพพอฟังจึงรีบพริ้มตาลงทันใด พยายามสงบจิตสำรวมใจ รอฟังพระธรรมเทศนาที่องค์บรมครูจักทรงแสดง หลังจากองค์ศาสดาทรงแสดงธรรมจบ เขาก็บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคล ณ ที่นั้นเอง จากนั้นได้อยู่สนทนากับพระองค์จนสมควรแก่เวลา แล้วจึงขอพระ ราชอนุญาตทูลลาจอมมุนีไปตอบคำถามของนางนาคมานวิกาเป็นลำดับต่อไป
เมื่อเขาไปถึงชายฝั่งปรากฏสองฟากแม่น้ำได้มีผู้คนจำนวนมากมามุงดูการแสดงของพญานาคพ่อลูก จนไม่มีแม้แต่ช่องว่างจะให้เขาเบียดตัวเข้าไปได้ เพื่อจะเข้าไปตอบคำถามของนางนาคสาว เขาจึงตะโกนกล่าวคำขอทางด้วยเสียงอันดังว่า
“ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพวกท่านโปรดจงเปิดทางให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจักขออาสาเป็นตัวแทนพวกท่านเข้าไปตอบคำถามของนางนาคเทวีนี้เอง เพื่อให้นางรู้ว่าคำถามจากอดีตจวบจนปัจจุบันที่ไม่มีใครตอบได้ บัดนี้ได้มีผู้ที่สามารถตอบได้แล้ว! ”
บรรดาคนที่ออกันอยู่เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ กล่าวคำพูดด้วยถ้อยคำอันฉาดฉาน ก็ให้รู้สึกประหลาดใจกันไปตามๆกัน แต่อย่างไรพวกเขาก็ยอมเปิดช่องให้อุตรได้ผ่านเข้าไปจนถึงชายน้ำ
เมื่อเข้าไปถึงชายฝั่งบุรุษหนุ่มได้แหงนหน้าขึ้นสบตากับนางนาคสาว รอฟังคำถามจากนางอย่างมิได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด นางนาคเทวีผู้มีรูปโฉมโสภีราวเทพธิดา เมื่อเห็นบุรุษเบื้องหน้ามิได้แสดงอาการหวาดกลัวต่อศักดานุภาพแลฤทธานุภาพแห่งนาคราช ก็นึกนิยม ในที จากนั้นจึงเอ่ยวจีเป็นบทเพลงร้องถามไป
นาคมานวิกา : “ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่าพระราชา? ”
อุตรมานพ : “ ผู้ที่ไม่ถูกอารมณ์ทั้งมวลอันมีรูปารมณ์เป็นต้นเข้าครอบงำทวารทั้ง ๖ จึงได้
ชื่อว่าพระราชา ”
นาคมานวิกา : “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงชื่อว่าพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี? ”
อุตรมานพ : “ พระราชาใดที่ยังมีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่ามี
พระเศียรเต็มไปด้วยธุลี ”
นาคมานวิกา : “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงชื่อว่าพระเศียรปราศจากธุลี? ”
อุตรมานพ : “ พระราชาใดที่ไม่มีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่ามี
พระเศียรปราศจากธุลี ”
นาคมานวิกา : “ ผู้ได้ชื่อว่าพาล มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ? ”
อุตรมานพ : “ ผู้ใดยังมีความกำหนัดพอใจในอารมณ์ต่างๆอยู่ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าพาล ”
คำถามที่นางเฝ้าถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานแต่ไม่เคยมีใครตอบได้ บัดนี้ได้ถูกบุรุษเบื้องหน้าเฉลยคำตอบออกมาได้อย่างถูกต้องฉะฉาน จนเกิดเป็นเสียงโห่ร้องทุกครั้งที่เขาตอบคำถามนาง ยังผลให้นางนาคสาวรู้สึกเสียหน้าแลขัดใจขึ้นมาทันใด ดังนั้นพอสิ้นเสียงร้องผู้คน นางจึงกล่าวขึ้นว่า
“ ดูก่อนบุรุษหนุ่ม คำตอบที่ท่านเฉลยแม้จักถูกทั้งหมดก็จริง แต่ก็เป็นเพียงคำถามบทแรกเท่านั้น แต่จากอดีตจวบจนปัจจุบันแม้เพียงคำถามบทแรกก็ยังไม่เคยมีใครตอบได้เหมือนท่าน ในเมื่อท่านสามารถตอบคำถามบทแรกของเราได้ก็ดีแล้ว อย่างนั้นเราจักขอถามคำถามบทที่สองต่อท่านในเพลานี้เลยก็แล้วกัน แลจักขอดูซิว่าท่านยังจักมีความสามารถตอบได้หรือไม่! ” ว่าแล้วมานวิกานาคเทวีก็เอื้อนเอ่ยวจีเป็นบทเพลงปริศนาบทที่สอง ถามต่ออุตรมานพ
นาคมานวิกา : “ อะไรหนอพาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสงสาร? บัณฑิตจักขจัดสิ่งนั้นได้ด้วย
อะไร? ผู้ที่ชื่อว่าเกษมจากโยคะ มีได้ด้วยอาการเยี่ยงไร? ”
อุตรมานพ : “ สิ่งที่พาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสารก็คือห้วงน้ำทั้ง ๔ อันได้แก่กามเป็นต้น
บัณฑิตย่อมตัดห้วงน้ำนี้ได้ด้วยความเพียรโดยชอบ บุคคลที่ชื่อว่าเกษมจากโยคะ
ก็เพราะจิตของเขาปราศจากซึ่งโยคะ ”
ทันทีที่สิ้นเสียงบุรุษหนุ่ม ปรากฏมีเสียงฟาดหางโครมใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วคุ้งน้ำแถบนั้นปานประหนึ่งราวกับว่าแผ่นดินจะถล่มแผ่นฟ้าจะทลาย ยังผลทำให้กระแสน้ำเกิดการปั่นป่วนรุนแรง จนถึงขั้นก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ พัดกระแทกชายฝั่งทั้งสองของคงคามหานทีพังทลายลงไปในพริบตา
บรรดาผู้ที่อยู่แถวหน้าเพราะอยากจักเห็นการแสดงให้ถนัดตา พอพื้นที่เหยียบอยู่ทรุดตัวลง ต่างก็ร่วงหล่นลงไปในสายน้ำอันเชี่ยวกรากทันที ส่วนพวกแถวหลังที่เบียดขึ้นไปไม่ได้ พอเห็นแถวหน้าประสบชะตากรรมอย่างไม่คาดฝัน แต่ละคนต่างก็ไม่มีใครคิดจะอยู่ดูการแสดงต่อ กลับหลังหันได้ก็โกยอ้าวแตกกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง จนเกิดเป็นความสับสนอลหม่านไปทั่วทั้งสองฟากฝั่ง
สาเหตุที่จู่ๆก็เกิดคลื่นยักษ์พัดเสียจนตลิ่งพัง ก็เพราะพญาเอรกปัตนาคราชเมื่อฟังคำตอบของอุตรมานพแล้วเขาเกิดความพลุ่งพล่านใจ จึงเผลอตนสะบัดแผ่นหางอันโตใหญ่ฟาดลงบนผืนน้ำ ยังผลทำให้กระแสน้ำเกิดความปั่นป่วนจนกลายเป็นคลื่นยักษ์นั่นเอง แต่พอเห็นผู้คนกระเสือกกระสนว่ายน้ำหนีตายกันให้พัลวัน ท้าวเธอก็พลันได้สติ จึงแผ่พังพานโอบเอาคนเหล่านั้นขึ้นไปไว้บนบก จากนั้นก็แปลงร่างเป็นมนุษย์เดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่มเพื่อจักถามเขา ว่าไปทราบคำตอบเหล่านี้มาได้อย่างไร
อุตรมานพพอฟังจึงเล่าที่มาของคำตอบให้ท้าวนาคราชทราบ พร้อมกันนั้นก็เสนอตัวนำทางให้หากเขาปรารถนาจักไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค ซึ่งยังความปลาบปลื้มให้เกิดกับพญานาคสองพ่อลูกเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาผู้คนเมื่อเห็นเหตุการณ์สงบก็เริ่มคลายจากความหวาดหวั่น พอเห็นบุรุษหนุ่มและพญานาคพ่อลูกออกเดินไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระศาสดา พวกตนซึ่งไม่มีกิจใดทำจึงไม่รอช้า รีบตามบุคคลทั้งสามไปทันใด
หลังเดินไปสักพักก็ถึงโคนไม้ที่ประทับ ท้าวนาคราชพอเห็นเขาจึงหยุดเท้าทันที จากนั้นก็ค่อยๆย่อตัวก้มลงกราบ พอกราบเสร็จก็ลุกเดินแยกกลุ่มไปยังร่มไม้อีกร่มซึ่งอยู่ห่างไปจากที่ประทับไม่มาก ปล่อยให้อุตรหนุ่มนำขบวนผู้คนไปเข้าเฝ้าเพียงลำพัง
ขณะที่ยืนอยู่ใต้เงาไม้สายตาของเขาก็เอาแต่จ้องพระพักตร์ของจอมมุนีแต่เพียงอย่างเดียว มิได้เหลือบตาแลเหลียวไปมองซ้ายมองขวาหรือว่าดูสิ่งใดทั้งสิ้น เขาจ้องไปก็หลั่งน้ำตาไป จนอาบนองรินไหลไปทั่วใบหน้า สมเด็จพระชินสีห์เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอากัปกิริยาของท้าวนาคราช จึงทรงมีพระดำรัสตรัสถามเขา “ ดูก่อนนาคราช ท่านมีความเศร้าในเรื่องใดฤา ไฉนจึงเอาแต่หลั่งน้ำตา? ”
พญาเอรกปัตตนาคราชพอฟังจึงกราบทูลว่า“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระบาทหวนนึกถึงอดีตชาติของตนขึ้นมาจึงร้องไห้พระพทุธเจ้าข้า เดิมทีข้าพระบาทเคยบวชเป็นภิกษุในศาสนาของสมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ซึ่งก็ทรงพระคุณอันประเสริฐเยี่ยงเดียวกับพระองค์เหมือนในเพลานี้ ครานั้นข้าพระบาทได้กระทำความผิดไปโดยไม่ตั้งใจ เผลอไปเด็ดเอาใบตระไคร่น้ำขาดติดมาใบหนึ่ง แต่แทนที่จักรีบปลงอาบัติเสีย ที่ไหนได้กลับปล่อยเสียจนตนเองหลงลืม มานึกได้อีกคราก็ตอนจักสิ้นใจ ซึ่งมิอาจแก้ไขอันใดได้ ดังนั้นพอสิ้นชีพ กรรมที่ทำไว้จึงส่งผลให้ข้าพระบาทมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาคพระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระบาทปรารถนาจักได้ฟังธรรมมาเป็นเวลาช้านานนักหนา แต่พุทธันดรที่ผ่านมาก็ยังมิเคยจักได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเลย เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แลที่ข้าพระบาทได้มีโอกาสทอดทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงมีพระสรีระร่างกายตัวตนจริงๆ ข้าพระบาทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จักทรงเมตตางสสาร แสดงพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์เดรัจฉานผู้อาภัพอับวาสนาเยี่ยงข้าพระบาทแลธิดานี้ด้วย พระพุทธเจ้าข้า! ”
สมเด็จพระชินสีห์ครั้นทรงสดับถ้อยพาทีที่แสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของท้าวนาคราช พระองค์จึงทรงเมตตาสงสารแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเขาแลธิดา โดยเนื้อหาใจความที่แสดงนั้นหากจักสรุปโดยย่อก็คือ :
๑.) การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
๒.) การมีชีวิตอยู่จนสิ้นอายุขัยของสัตว์ เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
๓.) การได้สดับตรับฟังพระสัทธรรม เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
๔.) การอุบัติของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
ครั้นสมเด็จพระศาสดาทรงแสดงธรรมจบ บรรดาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็พากันบรรลุคุณธรรมวิเศษกันเป็นจำนวนมากในสายของวันนั้นเอง ฝ่ายพญาเอรกปัตตนาคราชทั้งๆที่ตนเป็นผู้ปรารถนาจักเห็นสมเด็จพระชินสีห์ยิ่งกว่าผู้ใด มิหนำซ้ำยังมีใจเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาสูงสุด แต่ทว่าตัวเขาแลธิดากลับมิได้ประโยชน์ใดๆจากการเทศนาครั้งนั้น เนื่องจากเขาทั้งสองนั้นมีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าเป็นชาติภพที่ต่ำทรามอาภัพอับวาสนา ไม่มีปัญญาจักเข้าใจในหลักธรรมคำสอนที่ลึกซึ้งได้ จึงได้แต่หลั่งน้ำตาอำลาพระศาสดากลับลงยังบาดาลพิภพอันเป็นที่อยู่แห่งตน แลก็ใช้ชีวิตในสถานะพญานาคของตนต่อไป ตามยถากรรม .
จากเรื่องที่นำมาเล่าคงเห็นแล้ว ทุคติภูมิอย่างภูมิเดรัจฉานแม้สัตว์ตนนั้นจะมีฤทธิ์เดชเพียงใด หรือมีศักดานุภาพเพียงไหน แต่ก็หาได้มีปัญญาที่จักขจัดทุกข์ออกไปจากจิตใจเหมือนดังมนุษย์ไม่ตราบใดที่เขายังมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ ฉะนั้นหากผู้ใดไม่ปรารถนาจักไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ขอให้จงรีบหมั่นสร้างแต่คุณงาม หมั่นกระทำแต่ความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงๆ จะได้ไม่ต้องมาทนโศกาอาดูรเหมือนกับพญานาคราชตนนี้ .
ด้วยความปรารถนาดี
สืบ ธรรมไทย
ที่มา : พุทธชาดก / โลกทีปนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)