|
|
พระพุทธรูปปางชี้อัครสาวก
วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ
( นั่ง ) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา ( ตัก )
พระหัตถ์ขวาชี้ไปข้างหน้า เป็นกิริยาทรงประกาศอัครสาวกให้ปรากฏในที่ประชุมสงฆ์
ความเป็นมาของปางชี้อัครสาวก
|
อุปติสสะและโกลิตะเป็นสหายรักกัน
วันหนึ่งอุปติสสะ ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ และได้ดวงตาเห็นธรรม
เป็นพระโสดาบัน จึงไปแสดงธรรมแก่โกลิตะจนได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน
ทั้งสองจึงพาบริวารไปยังพระเวฬุวันมหาวิหาร เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นอุปติสสะและโกลิตะนำบริวารเดินมา
พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายว่า ทั้งสองคือคู่แห่งอัครสาวกผู้เป็นธรรมเสนาบดี
พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้ทั้งสองด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
เมื่ออุปสมบทแล้วนิยมเรียกพระอุปติสสะว่า "พระสารีบุตร"
พระโกลิตะว่า "พระโมคคัลลานะ" ตามชื่อมารดาของท่าน
ต่อมาพระสารีบุตรได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย |
|
|
๓๒.ปางประทานโอวาทหรือปางแสดงโอวาทปาติโมกข์
|
พระพุทธรูปปางประทานโอวาทหรือปางแสดงโอวาทปาติโมกข์
วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ
( นั่ง ) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้น จีบนิ้วพระหัตถ์ไว้เสมอพระอุระ
( อก ) เป็นกิริยาทรงประทานโอวาทปาติโมกข์
ความเป็นมาของปางประทานโอวาทหรือปางแสดงโอวาทปาติโมกข์
|
ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
กรุงราชคฤห์ หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วประมาณ
๙ เดือน ได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ
การประชุมที่ครบองค์ ๔ ได้แก่
( ๑ ) วันนั้นเป็นวันดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ ( วันเพ็ญเดือน
๓ )
( ๒ ) พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
( ๓ ) พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
( ๔ ) พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ คือ เป็นผู้ที่พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทด้วยพระองค์เอง
ในวันนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา
เพื่อเป็นแนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ใจความสำคัญแห่งพระโอวาทนั้น
ได้แก่ ละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
วันเพ็ญเดือน ๓ ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า
"วันมาฆบูชา"
|
|
|
พระพุทธรูปปางประทับเรือ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ ( นั่ง ) บนพระแท่น พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางคว่ำ บนพระชานุ ( เข่า ) บางแบบพระหัตถ์ซ้ายคว่ำที่พระชานุ พระหัตถ์ขาวจับชายจีวร พระบาททั้งสองวางอยู่บนดอกบัว
ความเป็นมาของปางประทับเรือ
|
ครั้งหนึ่งได้เกิดภัยพิบัติ ๓ ประการขึ้น ณ นครเวสาลี แคว้นวัชชี ได้แก่
( ๑ ) ทุพภิกขภัย คือ เกิดข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนพากันอดอยากหิวโหยล้มตาย
( ๒ ) อมนุษยภัย คือ เหล่าภูติผีปีศาจทั้งหลายต่างเข้ามาหลอกหลอนเบียดเบียนชาวเมือง
( ๓ ) อหิวาตกภัย คือ เกิดอหิวาตกโรคระบาด ชาวเมืองก็ยิ่งเจ็บป่วยล้มตายมากขึ้น
ในเวลานั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาจำพรรษาณ พระเวฬุวันมหาวิหาร เจ้าลิจฉวีนามว่า มหาลิ เข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลอาราธนาไปช่วยดับทุกข์ เมื่อเรือพระที่นั่งของพระพุทธองค์มาถึงท่าเรือนครเวสาลี เจ้าชายมหาลิจึงเชิญเสด็จพระพุทธองค์ขึ้นจากเรือ และถวายการต้อนรับอย่างมโหฬาร |
|
|
พระพุทธรูปปางห้ามพยาธิ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงแนบพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ ( อก ) แบฝ่าพระหัตถ์ตั้งขึ้นยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาทรงห้าม
ความเป็นมาของปางห้ามพยาธิ
|
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงย่างพระบาทสู่พื้นดินนครเวสาลี ทรงรำลึกถึงพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตชาติ ทันใดนั้น มหาเมฆเริ่มตั้งเค้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนกระหน่ำลงมา บังเกิดสายน้ำพัดพาซากศพมนุษย์และสิ่งปฏิกูลทั้งหลายออกสู่ทะเล เมื่อฝนหยุด พื้นแผ่นดินก็สะอาด ปราศจากสิ่งปฏิกูลอากาศที่ร้อนก็พลันเย็นลง พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระอานนท์สวดพระปริตรรัตนสูตร และปะพรมน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ตลอดราตรี บรรดาภูติผีปีศาจตกใจกลัวพุทธานุภาพพากันหนีไปจนหมดสิ้น มหาชนทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาต่างเกิดศรัทธา พากันประกาศตนเป็นพุทธมามกะ |
|
|
๓๕.ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
|
พระพุทธรูปปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ ( อก ) พระหัตถ์ขวาห้อยลงแนบพระวรกาย บางแบบพระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงตามปกติ บางแบบพักพระชานุ ( เข่า )
ความเป็นมาของปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
|
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพระประยูรญาติครั้งแรก พระญาติผู้ใหญ่ไม่ทำความเคารพ เพื่อให้พระญาติเหล่านั้นลดทิฐิมานะลง พระพุทธองค์จึงทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์โดยเหาะขึ้นไปบนอากาศ ประหนึ่งว่าละอองธุลีพระบาทได้หล่นสู่เศียรเกล้าของเหล่าพระประยูรญาติ พระเจ้าสุทโธทนะ จึงประณมพระหัตถ์แล้วกราบทูลว่า เมื่อพระองค์ประสูติวันแรก หม่อมฉันให้พี่เลี้ยงพามานมัสการกาฬเทวิลดาบส พระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ขึ้นไปสถิตบนชฎาของดาบส หม่อมฉันได้ถวายนมัสการเป็นครั้งแรก ครั้นถึงงานพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระองค์ประทับ ณ ใต้ต้นหว้า เงาร่มไม้หว้านั้นมิได้เลื่อนขยับไปตามแนวดวงตะวันแม้เป็นเวลาบ่าย หม่อมฉันได้ถวายนมัสการเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้เป็นคำรบสามที่หม่อมฉันถวายนมัสการ เหล่าพระประยูรญาติจึงได้คลายทิฐิมานะ ถวายนมัสการพระพุทธองค์ ด้วยบุญญาภินิหาร พลันเกิดมหาเมฆขึ้นในอากาศ ยังผลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา น้ำฝนโบกขรพรรษนี้มีสีแดง ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงเปียก หากไม่ปรารถนาให้เปียกก็ไม่เปียก เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ฝนโบกขรพรรษนี้ก็เคยตกมาแล้ว พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดกแก่พระประยูรญาติด้วย |
ข้อมูล/ภาพ
: หนังสือปางพระพุทธรูป หัวข้อธรรมในคำกลอน โดย ระพีพรรณ
ใจภักดี |
|