สมเด็จพระพุฒาจารย์
(เกี่ยว อุปเสโน)
เจ้าอาวาสวัดสระเกศ
พระพุทธเจ้าทรงสอนคนทั้งหลายในโลก
เรื่องความสุขมี ๒ ประการ
๑. ความสุขในทางกาย เรียกเป็นคำบาลีว่า
กายิกสุขิ ความสุขด้วยร่างกาย แต่ความสุขที่ทรงประสงค์แม้จะเป็นความสุขในทางกาย
ต้องเป็นไปในทางร่มเย็นระยะยาว ไม่ใช่ความสุขกายที่เกิดขึ้นชั่วระยะ
แล้วทำให้เกิดความรุ่มร้อนตามมาทีหลัง ความสุขนั้น แม้จะเป็นความสุขที่ต้องการกัน
แต่ก็ต้องนึกในใจว่าเป็นความสุขที่จะมีความเดือดร้อนภายหลังมองไม่ค่อยเห็น
อาจกล่าวว่ามองไม่เห็นในขณะนั้น มีความสุขกายอย่างธรรมดา เช่น ความสุขกายในการเดินทางไปที่ต่างๆ
เช่น ในเทศกาลสงกรานต์ เป็นต้น เดินทางกันไปไกล ก่อนที่เดินทางก็มีความบันเทิงสนุกสนาน
บางทีก็มีความเดือดร้อนกลายเป็นความทุกข์กายตามมา ความสุขกายที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์นั้น
หมายถึงความสุขกายที่จะสืบทอดไปยาวนาน ไม่ใช่ที่เกิดขึ้นชั่วระยะ แล้วนำความทุกข์กายมาภายหลัง
๒. ความสุขทางใจ
เรียกเป็นภาษาบาลีว่า เจตสิกสุข เป็นความสุขภายในใจ มองไม่เห็น ไม่เป็นตัวตน
เป็นนามธรรม ไม่เหมือนความสุขทางกาย ซึ่งเห็นได้ง่าย สิ่งที่เห็นอยากนั้นจึงต้องมีการพิจารณาด้วยเหตุผลอย่างรอบคอบ
และต้องพิจารณาในเวลาที่จิตใจปลอดโปร่ง รู้สึกว่ามี ความสุขกายเป็นพื้นแล้ว
ก็พิจารณาที่ปลอดโปร่งอย่างนั้นแล้วก็พอเห็นได้ ความสุขใจนั้นสำคัญและเป็นสิ่งที่เราต้องการอย่างมาก
แต่จะทำอย่างไร จึงจะทำให้เกิดความสุขใจอย่างที่เราทุกคนต้องการกัน
ข้อนี้อาจจะพูดโยตรง คือ การปฏิบัติธรรม ก็คือกรรมฐานั้นเอง จะเป็นสมถกรรมฐานก็ตาม
จะเป็นวิปัสสนากรรมฐานก็ตาม นั้นเป็นความสุขใจ หรือทำให้เกิดความสุขใจโดยตรง
การปฏิบัติพระกรรมฐานจะมุ่งให้เกิดความสุขใจยาวนานถาวร ก็ต้องลงมือปฏิบัติที่ต้องใช้ระยะเวลาเหมือนกัน
แต่เมือ่มีโอกาสไปปฏิบัติก็จะทำให้เห็นชัดเจนว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวเรานี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ใจทั้งสิ้น
ไม่ใช่สุขใจ สิ่งที่อยู่รอบตัวเราส่วนใหญ่จะทำให้เกิดความทุกข์ใจนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เรามักจะเข้าใจผิดว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเป็นเหตุให้เกิดความสุข
แต่แท้ที่จริงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์เป็นส่วนใหญ่ ในทางตรงกันข้าม
ถ้าทำความเข้าใจให้ดีได้ปฏิบัติเป็นพื้นฐาน อาศัยพระกรรมฐานดังกล่าวแล้ว
ก็สามารถทำสิ่งที่อยู่รอบตัวเราที่จะทำให้เกิดความทุกข์ใจนั้น เป็นความสุขได้
พอได้เห็นได้ยินก็รู้ทันทีแล้วก็ทำให้เป็นความสุขใจ กลายเป็นเอาสิ่งทั้งหลายที่จะเป็นโทษเป็นภัยรอบตัวเรา
หรือจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ใจนั้นทำใหเกิดความสุขใจได้
ตามหลักอภิธรรมที่กล่าวสั้นว่า อกุศลเป็นเหตุให้เกิดกุศลได้
อกุศลที่จริงไม่น่าเป็นเหตุให้เกิดกุศลได้คือความดีได้ แต่วาตามหลักที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วก็ชัดเจน เพียงแต่มีสติแล้วสิ่งที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ทางใจกลับเป็นความสุขใจ
เพราะเรารู้เท่าทัน ตามหลักพระกรรมฐานนั้นเองเหมือนกับร่างกายของเรานั้นแหละ
หรือเบญจขันธ์คือพระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นเหตุให้เกิดความสุขใจ ความจริงเป็นความสุขใจที่แท้จริง
โดยเอาร่างกายเป็นเครื่องพิจารณาไม่ใช่เอาบนฟ้าบนดินเอาอยู่ที่ตัวเรา
ดังนั้นถ้าตั้งใจให้ดีแล้ว จะพบสิ่งที่เราต้องการคือความสุขี เป็นการพูดกว้างครอบคลุมไปหมด
วันนี้ถ้าจะพูดตามคตินิยมคือวันขึ้นปีใหม่ของไทย เมื่อพูดถึงวันขึ้นปีใหม่ที่นิยมกันคือวันที่
๑ มกราคมก็ดี วันขึ้นปีใหม่แบบสงกรานต์ก็ดี ทุกคนก็ต้องการความดีกันทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้แล้วมี ๔ อย่าง อายุ วรรณะ สุข พละ
อายุ การมีอายุที่ดีที่แจ่มใส
วรรณ การมีผิวพรรณที่ผุดผ่อง
สุข การมีความสุขทางกายและทางใจ
พละ การมีกำลังทั้งทางกายและทางใจ
นี่คือที่ปรารถนาอย่างธรรมดาของคนทั้งหลายในโลกนี้
ธรรมะทีเราต้องการเหมือนกัน ๔ อย่าง คือธรรมะที่เป็นส่วนผลไม่ใช่เหตุ
ธรรมะที่เป็นเหตุนั้นมีไม่มากมี ๒ ประการ คือ
๑.อภิวาทนสีลิสสะ นิยมการกราบไหว้
๒.นิจจัง วุฑฒาปจานิโย นิยมการอ่อนน้อมถ่อมตน
ถ้ามี ๒ อย่างนี้แล้วก็จะได้ ๔ อย่างตามมา
อภิวาทนสีลิสสะ คือนิยมการกราบไหว้
เห็นอะไรที่ควรไหว้ ไหว้ เห็นอะไรที่ควรกราบ กราบ ไม่ใช่กราบไหว้เรื่อยไป
แต่เรากราบสิ่งที่เราควรกราบ ไหว้สิ่งที่เราควรไหว้ สิ่งที่สูงสุดคือพระพุทธเจ้า
รองลงมาคือบิดามารดา เมื่อเรานิยมการกราบการไหว้แล้วทำให้การกระทำของเราดีตามไป
การพูดการคิอก็จะดีตามไปด้วย การนิยมการกราบการไหว้อย่างเดียวได้ทั้ง
๔ อย่าง
นิจจัง วุฑฒาปจานิโย คือนิยมการอ่อนน้อมถ่อมตน
ตามคำโบราณว่าไว้ว่า เหมือนไม้จิ้มผีเป็นไม้สำหรับพลิกศพไปมา ไม่มีใครต้องการเป็นไม้จิ้มผี
ต้องการตนเองได้ดี ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าทำได้ทั้ง ๒ อย่างก็จะได้ทั้ง
๔ อย่าง
|